การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนสุดขั้ว และการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำฝน ได้สร้างความท้าทายให้กับการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย ดังนั้นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยลดความกดดันบางส่วนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวและรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
หนึ่งในกลยุทธ์ของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็คือ การจัดหาเงินทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะช่วยเสริมสร้างความพร้อมให้กับประเทศไทยในการจัดการกับความท้าทาย การปรับตัวและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การพัฒนากองทุนน้ำ นับเป็นอีกทางเลือกของเงินทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกองทุนน้ำเกิดจากความร่วมมือของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและการจัดการลุ่มน้ำอย่างยั่งยืน โดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เพื่อสร้างความยั่งยืนและสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการบริหารจัดการน้ำ (The Nature Conservancy 2018)
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการภายใต้โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนน้ำ (Water fund) จากการเก็บค่าน้ำและค่าธรรมเนียมการใช้น้ำ (หมวดที่ 4) ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในเรื่องความเป็นไปได้ของการจัดตั้งกองทุนน้ำ และกลไกการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการน้ำในทุกระดับ ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวอย่างแนวทางการจัดตั้งกองทุนน้ำในระดับสากล
ผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการแสดงความสนใจในการจัดตั้งกองทุนน้ำ โดยตัวแทนจากคณะกรรมการลุ่มน้ำได้ให้ความเห็นว่ากองทุนน้ำควรจัดตั้งขึ้นในระดับลุ่มน้ำและนำไปสนับสนุนกิจกรรมและการพัฒนาต่างๆ ภายในลุ่มน้ำนั้นๆ ส่วนตัวแทนภาครัฐเอง มีข้อเสนอแนะให้ทางทีมที่ปรึกษาไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนน้ำในอนาคต
“ภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) มาตรา 7 ข้อที่ 3 และ 4 ระบุไว้ว่า ความพยายามในการปรับตัวของภาคีประเทศกำลังพัฒนาต้องได้รับการตระหนักถึง และความจำเป็นต่อการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น สามารถนำไปสู่ค่าใช้จ่ายด้านการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดตั้งกลไกทางการเงินเพื่อรองรับการปรับตัวในอนาคตบนหลักการของความเท่าเทียม เป็นธรรมและโปร่งใส สทนช. ในฐานะหน่วยงานกลางด้านน้ำของประเทศมองว่าทุกภาคส่วนควรร่วมกันคิดกรอบ แนวทางเพื่อเดินไปด้วยกันอย่างมีส่วนร่วมบนหลักการทางการเงิน-การคลังที่โปร่งใสและหลักธรรมาภิบาลที่ดี ผมหวังว่างานศึกษาในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีในการเสริมสร้างและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในกระบวนการจัดเก็บและจัดสรรค่าธรรมเนียมการใช้น้ำ ภายใต้ พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 หมวดที่ 4 ซึ่งผลการหารือจะนำไปสู่การพัฒนาข้อริเริ่มเชิงนโยบายบนหลักความสมดุลและการมีส่วนร่วมที่ตอบสนองความต้องการของประเทศต่อไป” (คำกล่าวของ นายชุมลาภ เตชะเสน ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ)
ทีมที่ปรึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะรวบรวมข้อคิดเห็นที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ร่วมกับการศึกษากระบวนการจัดเก็บค่าน้ำและค่าธรรมเนียมการใช้น้ำในปัจจุบัน ภายใต้ พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กฏหมาย โครงสร้างทางสถาบันและนโยบายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปประเมินความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนน้ำ ซึ่งผลที่ได้จะนำไปวิเคราะห์เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนน้ำ อันประกอบด้วยวัตถุประสงค์ของกองทุน ส่วนประกอบต่างๆ ที่จำเป็นในการจัดตั้งกองทุนน้ำ แผนที่นำทางการก่อตั้งกองทุนน้ำ (Roadmap) และข้อแนะนำในการจัดตั้งกองทุนน้ำ โดยผลการศึกษาเหล่านี้จะนำเสนอให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2565 นี้