คณะผู้วางนโยบายของไทยได้เข้าร่วมเวทีเสวนาระดับชาติครั้งที่สาม เรื่องการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ปีพ.ศ. 2561 เพื่อหารือเกี่ยวกับการประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ และรัฐบาลในการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในเมือง
การเสวนาครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 70 ท่าน ได้แก่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายกเทศมนตรีโคราช (นครราชสีมา) และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลง กรุงเทพฯ ที่ได้ร่วมดำเนินงานกับผู้วางนโยบายหลักจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมถึงผู้แทนจากกระทรวงต่างๆ องค์กรระหว่างประเทศ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งถือเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุดของคณะผู้จัดทำนโยบายของไทย
ในช่วงตอนต้น Dr. Stefanos Fotiou ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรวมเมืองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนโอกาสในการพัฒนาทั่วโลก เวทีเสวนาระดับชาตินี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละภาคส่วนของรัฐบาล Dr. Christine Falken-Grosser ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการค้า สถานเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำกรุงเทพฯ ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการสื่อสารให้ดีขึ้นระหว่างระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยระดับประเทศสามารถช่วยเหลือระดับท้องถิ่นด้านการสนับสนุนทางการเงินและการพัฒนาด้านอื่นๆ เพิ่มเติมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและการบริการในเมือง นอกจากนี้ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศและทวิภาคี ก็ควรมีบทบาทที่แข็งแกร่งขึ้น ด้านคุณสุนิสา บุณโยภาส ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และการวางแผนพัฒนาพื้นที่ สศช. ได้ชี้แจงถึงความสำคัญและความเชื่อมโยงระหว่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ของประเทศไทยกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งสอดคล้องกับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี พ.ศ. 2573
การเสวนาช่วงที่ 1 เรื่อง “การบูรณาการความร่วมมือระหว่างสถาบันทั้งเชิงแนวดิ่งและแนวราบเพื่อส่งเสริมการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในประเทศไทย” คุณรูธ เอิร์ลเบค ผู้อำนวยการโครงการบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการของเมืองในเอเซีย (Urban Nexus) ของ GIZ เน้นย้ำว่าวิธีการบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการของเมืองจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการทำงานหนึ่งภาคส่วนเป็นการเชื่อมโยงและประสานหลายภาคส่วน ซึ่งเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้าง นโยบายภาคส่วน และวิธีการที่มีอยู่ที่จะส่งเสริมการป้องกันและการใช้น้ำ พลังงาน อาหารและที่ดินให้อยู่ในลักษณะที่สมดุลกัน ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่และโคราชสามารถจัดหาเงินทุน (ซึ่งใช้งบประมาณของเทศบาล) ให้โครงการด้านการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการได้บางโครงการเท่านั้น การจัดหาเงินทุนและงบประมาณเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายภาคส่วน การเสวนาหัวข้อนี้เน้นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการการจัดการทรัพยากรในเมืองต่างๆ ในประเทศไทยและการจัดการกับความท้าทายและหาแนวทางแก้ไข ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเชื่อมโยงนโยบาย การปฏิบัติงาน องค์กรและสถาบันทั้งเชิงแนวดิ่งและแนวราบ เพื่อทำงานกับทุกภาคส่วนและระหว่างเขตอำนาจปกครองต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารทรัพยากร ดร.ศุภชัย ตันติคมน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลง กรุงเทพฯ ได้นำเสนอกิจกรรมที่ได้วางแผนไว้และแผนงานด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงกับเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้ง 100 แห่งของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller) ที่ใช้วิธีบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการ
การเสวนาช่วงที่ 2 เปิดโอกาสให้เมืองได้จัดหาเงินทุนโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงให้มีการสนับสนุนของหน่วยงานระดับประเทศมากขึ้น การเสวนาเริ่มต้นด้วยภาพรวมของทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในเมืองต่างๆ ของประเทศไทย จากนั้นได้มีการอภิปรายโดยใช้กรณีศึกษาเพื่อศึกษาความท้าทายและโอกาสในการระดมทุนโครงการบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่และโคราช ความท้าทายและความคืบหน้าในการฟื้นฟูด้านการเงินของคลองแม่ข่าในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งต้องการเงินทุน 800 ล้านบาท (20 ล้านยูโร) ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงขณะที่โคราชประสบปัญหาในการส่งเสริมพลังงานทดแทนโดยเฉพาะสำหรับใช้ในโรงงานบำบัดน้ำเสีย นายเนติวิทย์ เริงสุขพิพัฒนะ ผู้อำนวยการส่วนช่างสุขาภิบาล ทน.เมืองโคราช ได้กล่าวถึงความท้าทายต่างๆ ที่เมืองต้องเผชิญในการส่งเสริมพลังงานทดแทนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในโรงงานบำบัดน้ำเสีย “มันมีการแข่งขันที่รุนแรงในการเข้าถึงกองทุนที่มีอยู่ เช่น กองทุนน้ำมันและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงและนโยบายรัฐบาลที่ไม่แน่ชัดทำให้กระบวนการทำงานนั้นยากยิ่งขึ้น” นายเนติวิทย์กล่าว
นายวินิจ ร่วมพงษ์พัฒนะ จากกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่าการมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด มีแผนงานที่แน่ชัดและสอดคล้องกับแผนระดับชาติที่มีอยู่ นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับใหม่ และโครงการโคราชได้ปรับเปลี่ยนโครงการ PPP เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ ผู้ร่วมอภิปรายและผู้เข้าร่วมประชุมอื่นๆ แนะนำว่าเมืองต่างๆ ควรพิจารณาการสนับสนุนจากภาคเอกชน การจัดหาเงินทุนผสมและการเป็นหุ้นส่วนภาครัฐและภาคเอกชน
การเสวนาช่วงที่ 3 ได้มีการวิเคราะห์ว่าการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในเมืองจะสามารถบรรลุเป้าหมายของวาระทั่วโลกให้สำเร็จได้อย่างไร ผู้ร่วมอภิปรายสะท้อนให้เห็นถึงกรอบ กฎเกณฑ์ สถาบันและงบประมาณที่จำเป็นในการสนับสนุนแนวทางบูรณาการและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วโลก นอกจากนี้ผู้ร่วมอภิปราย ยังได้หารือถึงการปรับใช้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเมืองมีบทบาทในการบรรลุเป้าหมายของ SDGs ทั้ง 17 เป้า สำหรับในระดับประเทศ แม้ว่าหลายกระทรวงจะมีแผนงานเกี่ยวกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการของเสีย รวมทั้งระดับความเข้าใจที่แตกต่างกัน แต่ก็ยากที่จะวัดความคืบหน้าในการดำเนินงานเมื่อแผนงานใดแผนงานหนึ่งไม่มีฐานข้อมูล ในการเสวนาช่วงนี้ ได้ให้ความสำคัญกับสถาบันการฝึกอบรมและสถาบันการศึกษาในการที่จะช่วยแนะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อให้เกิดการเผยแพร่และการยอมรับที่ยั่งยืน “เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย” ไม่ควรถูกทิ้งไว้ให้เมืองหรือกระทรวงบริหารจัดการเพียงฝ่ายเดียว สถาบันวิจัยและการฝึกอบรมควรมีการบริหารจัดการกับแนวทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย
ประเด็นสำคัญที่ได้จากการเสวนาประกอบด้วย
1. แม้ว่าเมืองจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตและพัฒนาประเทศ และสามารถนำไปสู่การดำเนินการตามวาระทั่วโลก แต่การสนับสนุนจากระดับประเทศ องค์กรระหว่างประเทศและทวิภาคี ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะยกระดับศักยภาพของเมืองต่างๆ เพื่อให้เกิดการริเริ่มทั่วโลก แนวทางการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในเมือง จะสามารถนำหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการร่วมกัน
2. หุ้นส่วนความร่วมมือของโครงการ Urban Nexus ซึ่งได้แก่ GIZ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UN ESCAP) และรัฐบาลท้องถิ่นสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ICLEI SEA) สามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการเสวนาระดับชาติและระบุโอกาสในการบูรณาการการดำเนินงาน อย่างไรก็ตามหากเมืองต่างๆ จะพัฒนาในระยะยาว โครงสร้างองค์กรจะต้องมีความเข้มแข็งและหน่วยงานระดับประเทศต้องรับทราบและสนับสนุนความต้องการของหน่วยงานระดับท้องถิ่นด้วย
3. เมืองควรพิจารณาความหลากหลายของแหล่งเงินทุนสำหรับการดำเนินโครงการ รวมถึงเงินทุนผสม การมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) แหล่งข้อมูลจากประเทศผู้ให้ทุนและการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัด
4. นโยบายระดับชาติที่ชัดเจนและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติงาน เป็นสิ่งจำเป็นที่จะสามารถดึงดูดให้เกิดการลงทุนในโครงการพัฒนาเชิงนวัตกรรมต่างๆ
5. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญและไม่ควรมองข้าม ประชาชนและชุมชนจะทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา การนำแนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในเมืองเข้าสู่หลักสูตรจะช่วยให้เกิดแรงผลักดันที่จะพัฒนาอย่างยั่งยืน
6. นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่สถาบันฝึกอบรมและสถาบันการศึกษาจะเข้ามาช่วยแนะนำเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมในหลายๆ ภาคส่วน เพื่อให้การเผยแพร่และยอมรับ สถาบันวิจัยและฝึกอบรมควรมีการบริหารจัดการกับแนวทางเทคโนโลยีใหม่ๆ และทำให้เยาวชนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับมันมากขึ้น
เวทีเสวนาระดับชาติครั้งที่สามเรื่องการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในประเทศ จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง ESCAP และ GIZ และการเสวนาในแต่ละช่วง ถูกจัดโดยโครงการบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการของเมืองในเอเซีย (Urban Nexus) ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMZ) และดำเนินการโดย GIZ ESCAP รัฐบาลท้องถิ่นสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ICLEI) โดยเมืองที่เข้าร่วมโครงการฯ ในประเทศไทย คือ เทศบาลนครเชียงใหม่และเทศบาลนครนครราชสีมา