เราจะเพิ่มประสิทธิภาพการแยกขยะบรรจุภัณฑ์และการรีไซเคิลเพื่อลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างไร กรมควมคุมมลพิษ (คพ.) ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) สภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) เดินหน้าหารือทางเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
แนวคิดและหลักการที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา คือ หลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตสำหรับบรรจุภัณฑ์ (Extended Stakeholder Responsibility: EPR) ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ภาคธุรกิจในท้องตลาดมีส่วนรับผิดชอบในการรวบรวม การคัดแยก และการรีไซเคิลขยะบรรจุภัณฑ์ ประสบการณ์จากต่างประเทศที่มีการนำระบบ EPR มาปรับใช้ ชี้ให้เห็นว่าระบบสามารถจัดสรรทรัพยากรทางด้านการเงินและสร้างแรงจูงใจในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิลได้
เพื่อเป็นแนวทางใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย คพ. และ TIPMSE จึงได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับหลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตสำหรับบรรจุภัณฑ์ร่วมกับโครงการส่งเสริมการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการปัญหาขยะทะเล ระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 230 คนจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในประเทศไทย โดยในที่ประชุม ได้มีการแนะนำแนวคิดและหลักการของ EPR พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ระดับนานาชาติ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาขยะทะเล
“คพ. มี Roadmap ในการจัดการขยะพลาสติก ซึ่งระยะที่ 1 นั้นอยู่ระหว่างการดำเนินงาน ในปี พ.ศ. 2565 มีความประสงค์ในการร่างแผนงานระยะที่ 2 โดยจะต้องเพิ่มกลไกการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และไม่ได้ครอบคลุมแค่ขยะพลาสติก แต่หากยังต้องพิจารณาถึงบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ด้วย” นางกัญชลี นาวิกภูมิ ผู้อำนวยการกองจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษกล่าว
Mr. Matej Dornik ผู้แทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรป กล่าวเสริมว่า “EPR เป็นหนึ่งในเครื่องมือนโยบายหลักที่ใช้ในการจัดการขยะของยุโรป สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ เช่น บรรจุภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ นอกเหนือจากประสบการณ์ในการนำไปใช้ปฏิบัติแล้ว ระเบียบที่เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ และของเสียที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ของสหภาพยุโรป (EU Directive on Packaging and Packaging Waste) ยังกำหนดว่าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้งหมดจำเป็นต้องจัดทำแผน EPR สำหรับบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2567”
ระหว่างการประชุม ผู้แทนกระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศเวียดนามและชิลี ได้นำเสนอว่า แต่ละประเทศได้พัฒนากรอบการทำงานทางกฎหมายเกี่ยวกับ EPR อย่างไรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญจาก อินโดนิเซีย แอฟริกาใต้ และยุโรป อธิบายว่าธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคร่วมมือกันเสนอแนวทาง การบริหารจัดการด้านการเงิน การจดทะเบียน การติดตาม การรวบรวมและรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ และการบูรณาการ “ซาเล้ง” เข้าไปในระบบ
ด้านนายนภดล ศิวะบุตร ประธานคณะทำงานพัฒนากลไกการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว TIPMSE สรุปว่า “TIPMSE มีเป้าหมายที่จะให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการออกแบบระบบ EPR การอภิปรายลักษณะนี้เป็นเวทีแลกเปลี่ยน และเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์จากที่อื่นๆ และนำประสบการณ์นั้นๆ มาปรับใช้ อีกทั้งเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ซึ่งหลักการของ EPR ในประเทศไทยตอนนี้ เริ่มมีคนเข้าใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 10 เดือนที่แล้ว”
การหารือแลกเปลี่ยนยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจะจัดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะมาหารือร่วมกันอีกครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับผลการวิจัยจากการสัมภาษณ์เกี่ยวกับแบบจำลอง EPR ที่เป็นไปได้ในประเทศไทย