Eisen Bernardo สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง วาดแผนภาพอนาคตที่ต้องการร่วมกันสำหรับการเกษตรที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในเอเชีย ภายในปีพ.ศ. 2593
การบรรลุเป้าหมายร่วมกันเรื่องการสร้างความยืดหยุ่นและภูมิทัศน์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับต่ำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เป็นไปตามข้อตกลงจากการประชุมภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) จำเป็นต้องมีเป้าหมายการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โครงการส่งเสริมการเกษตรอย่างยั่งยืนในห่วงโซ่คุณค่าในอาเซียน (ASEAN AgriTrade) ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMZ) และดำเนินงานโดย GIZ ร่วมกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จึงได้จัดการประชุมออนไลน์ในหัวข้อ “การเพิ่มศักยภาพการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อสร้างภูมิทัศน์ที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: ในการนำไปสู่ COP27” ขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 เพื่อเพิ่มความเข้าใจในนโยบายสภาพภูมิอากาศ ปฏิญญา และโครงการที่ริเริ่มจาก COP26 รวมทั้งผลกระทบต่อการผลักดันภูมิทัศน์ที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
งานประชุมครั้งนี้ มีหน่วยงานเพื่อการพัฒนาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งประกอบด้วยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กลุ่มพันธมิตรด้านสภาพภูมิอากาศและอากาศบริสุทธิ์ โครงการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของประเทศญี่ปุ่น สำนักงานเลขาธิการอาเซียน คณะทำงานของอาเซียนที่เกี่ยวข้อง เครือข่ายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอาเซียน และกลุ่มเจรจาด้านการเกษตรของอาเซียน
เพื่อให้เกิดการอภิปรายและการวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการประชุม COP26 โดยละเอียด การประชุมครั้งนี้จึงแบ่งออกเป็น 3 วัน เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุม COP26 ไปดำเนินการต่อในการประชุม COP27 โดยแบ่งออกเป็นดังนี้
การประชุมครั้งที่ 1 จัดขึ้นเมื่อวันที่1-3 มีนาคม พ.ศ. 2565 เป็นการรวบรวมผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุม COP26 สำหรับภาคการใช้ประโยชน์ที่ดินในเอเชียแปซิฟิก การประชุมนี้เน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของภาคเกษตร การใช้ประโยชน์ที่ดินและป่าไม้ เพื่อสนับสนุนปฏิญญาด้านสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศ ซึ่งรวมถึงเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และปฏิญญามีเทนโลก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน กลยุทธ์ในระยะยาว แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDCs) ก็ล้วนแต่เป็นกลไกในการนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายในระยะยาว ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย นับเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้ลงนามในปฏิญญามีเทนโลก และเพื่อให้เป็นไปตามปฏิญญาด้านสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศ ประเทศสมาชิกควรบูรณาการเครื่องมือและแนวทางที่มีอยู่ให้สอดคล้องกัน เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนการใช้ที่ดินและภาคส่วนอื่นๆ อย่างภาคพลังงานและการนำแนวปฏิบัติของเกษตรกรรมอัจฉริยะด้านสภาพภูมิอากาศมาปรับใช้ เช่น ระบบการทำฟาร์มแบบบูรณาการ นิเวศเกษตร วนเกษตร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมยังคงมีคำถามเกี่ยวกับประเด็นของอุปสงค์และอุปทานสินเชื่อป่าไม้ ผลกระทบของมาตรา 6 ของข้อตกลงปารีส ประเด็นความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม และสถานะของเอเชียแปซิฟิกเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ และบริบททั่วโลก ที่ยังคงคลุมเครือและยังไม่ได้รับคำตอบจากการอภิปรายในครั้งนี้ ซึ่งจะมีการหารือเพิ่มเติมในอนาคต
ผู้เข้าประชุมเพิ่มศักยภาพการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อสร้างภูมิทัศน์ที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
การประชุมครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15-16 มีนาคม พ.ศ. 2565 เป็นการอภิปรายถึงการปรับเปลี่ยนภาคเกษตรด้วยแนวปฏิบัติที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยเน้นที่บทบาทของนโยบายภูมิอากาศ เช่น ปฏิญญามีเทนโลก ปฏิญญาชาร์ม เอล-ชีค และการทำงานร่วมกันกับ Koronivia (KJWA) นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอรายงานของคณะทำงานที่ 2 เกี่ยวกับผลกระทบ การปรับตัว และความเปราะบาง ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เพื่ออัปเดตสถานการณ์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ นอกจากนี้ โดยผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียนได้นำเสนอเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่ทางประเทศได้ดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการให้น้ำแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ระบบการติดตาม รายงาน และตรวจสอบ (MRV) ซึ่งมีความสำคัญสำหรับการติดตาม NDCs และการเกษตรอัจฉริยะในด้านสภาพภูมิอากาศ (CSA) สำหรับการทำปศุสัตว์ ซึ่งการปรับเปลี่ยนการเกษตร ควรมีแนวทางที่ชัดเจนตั้งแต่ระดับนโยบาย และนำไปสู่การปฏิบัติที่ยืดหยุ่นและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมคาดหวังว่าภาคเกษตรของอาเซียนจะเป็น ‘ระบบเกษตร-อาหารที่ยืดหยุ่น มีความหลากหลายทางชีวภาพ และปลอดมลภาวะ ซึ่งจะเป็นแหล่งผลิตอาหารเพื่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการแก่ทุกคนในทวีปเอเชียภายในปีพ.ศ. 2593’ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้ผลิตอาหาร นักวิจัย หุ้นส่วนการพัฒนา องค์กรอิสระ องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน รัฐบาล สถาบันการศึกษา เป็นต้น เพราะนโยบายของภาครัฐ การเงิน ความตระหนัก เทคโนโลยีและนวัตกรรมและการศึกษา ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้
“เพื่อสร้างหลักประกันในความมั่นคงด้านอาหารไปพร้อมๆ กับการจัดการกับความท้าทายด้านความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเติบโตของประชากรโลก เราจำเป็นต้องสร้างระบบอาหารที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ อย่างไรก็ตาม ไม่มีวิธีแก้ปัญหาใดที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์สำหรับการเปลี่ยนผ่านไปเป็นระบบอาหารที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ แต่ละประเทศในภูมิภาคต้องหาทางแก้ไขตามสถานการณ์โดยรอบประเทศและภูมิภาค” นาย Toyohisa Aoyama อธิบดีกรมวิทยาการ กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมง ประเทศญี่ปุ่น กล่าว
ผู้เข้าประชุมเพิ่มศักยภาพการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อสร้างภูมิทัศน์ที่ยืดหยุ่นและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
การประชุมครั้งที่ 3 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565 การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ หน่วยงานราชการ และหน่วยงานพัฒนาระหว่างประเทศ โดยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐจากประเทศสมาชิกอาเซียนได้นำเสนอนโยบาย แผนงาน รวมทั้งมาตรการ และเครื่องมือต่างๆ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในการหาแนวทางร่วมกันในประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน โดยองค์กรวิจัยด้านวิทยาศาสตร์มีแผนงานและกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสำหรับนวัตกรรมทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม การได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้ในระยะยาวนั้นมีความสำคัญในความพยายามปรับตัวของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยการประชุมครั้งนี้เป็นเหมือนเวทีให้แต่ละองค์กรได้มีโอกาสหาพันธมิตรภายในอาเซียน และเดินหน้าร่วมมือกันในการนำนวัตกรรมทางการเกษตรมาปรับใช้ต่อไป
“ประเด็นสำคัญคือจะแน่ใจได้อย่างไรว่าได้มีการพัฒนาการเกษตรในวิถีที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น อาเซียนได้พยายามพัฒนานโยบายและกรอบการทำงานเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคเกษตร และเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ อาเซียนกำลังพัฒนายุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน และแนวทางระดับภูมิภาคเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืนในอาเซียน” ดร. Pham Quang Minh หัวหน้าแผนกอาหาร การเกษตร และป่าไม้ สำนักงานเลขาธิการอาเซียน กล่าว
เอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวการประชุมสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่