CASE โครงการพลังงานสะอาดเข้าถึงได้และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยผลวิจัยเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ชงข้อเสนอรัฐบาล พาไทยเพิ่มประสิทธิภาพการบรรลุเป้าหมาย ลดคาร์บอนให้ได้ตามเป้า COP โดยไม่ต้องจ่ายแพง พ่วงประโยชน์ต่อประเทศอีกหลายด้าน
กรุงเทพฯ 2 พฤศจิกายน 2565 องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ), กระทรวงเศรษฐกิจ และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งรัฐบาลเยอรมัน (BMWK), สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกันจัดงานเสวนาสาธารณะ “จาก COP26 สู่ COP27: เดินหน้าภาคพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050″ ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เพื่อเปิดเผยผลการศึกษา “แนวทางการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทย: การวางแผนระดับประเทศในระยะยาวและนัยยะด้านเศรษฐกิจและสังคม” (Towards a collective vision of Thai energy transition: National long-term scenarios and socioeconomic implications (TET2S) ดำเนินการภายใต้โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Clean Affordable Secure Energy for Southeast Asia – CASE)
หลังคณะผู้วิจัยได้ศึกษาเส้นทางการลดคาร์บอนในภาคพลังงานที่ครอบคลุมในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งของประเทศไทยด้วยต้นทุนต่ำพร้อมระบุหมุดหมายต่างๆที่ต้องทำให้ได้เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) หรือ Carbon neutrality 2050 ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในเวทีCOP26 เมื่อปีที่ผ่านมา
โดยการนำเสนอผลการศึกษาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน, มร.เกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย และ มร.ไรน์โฮลด์ เอลเกส ผู้อำนวยการ GIZ ประจำประเทศไทยและมาเลเซีย ร่วมเปิดงาน
ดร.สิริภา จุลกาญจน์ นักวิจัยโครงการ CASE จากสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นำเสนอผลการศึกษาในหัวข้อ “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงาน 2050” เผยว่า การศึกษาของโครงการ CASE มุ่งศึกษาแนวทางลดคาร์บอนในภาคพลังงานเนื่องจากภาคพลังงานมีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงจึงต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้มากที่สุดเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ยาก (hard-to-abate sector) ลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการใช้แหล่งกักเก็บคาร์บอน (carbon sink)
โดยผลการศึกษาชี้ว่าแผนพลังงานและนโยบายที่มีในปัจจุบันยังไม่เพียงพอสำหรับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงานได้ จึงเสนอภาครัฐผู้กำหนดนโยบายพิจารณาเส้นทางไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ที่ต้องอาศัยเป้าหมายการลดคาร์บอนที่เข้มข้นขึ้นในภาคพลังงาน
ข้อเสนอจากผลการศึกษาระบุว่า ภาคการผลิตไฟฟ้าควรเน้นเพิ่มการผลิตที่มาจากแสงอาทิตย์และลม ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมควรใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่วนในภาคขนส่งควรปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะ ระบบราง และพาหนะส่วนบุคคล
“เราคาดว่าต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลง สวนทางกับราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้น หากเราสามารถทำตามเส้นทาง Carbon Neutrality ที่ โครงการ CASE นำเสนอภายใต้การศึกษานี้ได้ เรามีโอกาสบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้โดยที่ไม่ทำให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น โดยเส้นทางดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานที่ระบบไฟฟ้ามีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยมีต้นทุนต่ำ (least cost optimization) และอาศัยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน” ดร.สิริภา จุลกาญจน์ กล่าว
การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานตามแนวทางที่เสนอแนะดังกล่าวข้างต้นยังสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้อีกหลายทาง อาทิ การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และการลดความเสี่ยง และการผันผวนจากราคาพลังงาน และการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังเกิดการสร้างประโยชน์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ถึง 4.5 ล้านล้านบาทระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2593 ช่วยลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าเช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป(CBAM) ที่จะทำให้ไทยส่งออกได้ลดลง หรืออุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น และการเปลี่ยนผ่านพลังงานยังสามารถสร้างการจ้างงานในประเทศให้เพิ่มขึ้นได้ราว 8 ล้านตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2593 จากการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลม อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เพราะจะช่วยบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศ และทำให้อัตราการเสียชีวิตของผู้คนจากปัญหามลพิษทางอากาศลดลงได้ถึง 26,000 ราย ในระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2593
นอกจากการนำเสนอผลงานทางวิชาการแล้วในงานดังกล่าวได้มีการจัดเวทีเสวนาสาธารณะในหัวข้อ“ทบทวนคำสัญญาผู้นำไทยกับความเป็นไปได้สู่เวที COP27” ที่ได้รับเกียรติจาก คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (สผ.) คุณอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศ.ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน และคุณสฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนอภิปรายถึงความคืบหน้าและความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จากคำมั่นสัญญาผู้นำไทยใน COP26 ก่อนไปสู่ COP27 ในช่วงเดือน พ.ย.นี้
หมายเหตุบรรณาธิการ
เกี่ยวกับโครงการพลังงานสะอาดเข้าถึงได้ และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CASE) มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อมุ่งสู่การบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่ 4 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาค ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์
โดยทั้ง 4 ประเทศมีการผลิตไฟฟ้าคิดเป็นเกือบ 3 ใน 4 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคิดเป็นประมาณ 72% ของ GDP ของภูมิภาค และ 82% ของประชากรทั้งหมด การพัฒนาพลังงานของประเทศเหล่านี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความสามารถของภูมิภาคในการบรรลุเป้าหมายทั้งด้านการพัฒนาและความยั่งยืน ตลอดจนถึงการบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส โครงการ CASE มุ่งเน้นการเสนอวิธีแก้ปัญหาที่อิงหลักฐานให้กับผู้กำหนดนโยบายที่กำลังเผชิญความท้าทาย และสร้างการสนับสนุนทางสังคมต่อวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้นในภูมิภาค โดยใช้แนวทางการค้นหาข้อเท็จจริงร่วมกันเพื่อลดขอบเขตของความเห็นต่างผ่านการมีส่วนร่วมของการวิเคราะห์และการอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ CASE ยังมุ่งสนับสนุนการประสานงานในภาคพลังงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและนโยบาย และสนับสนุนการหารือเชิงนโยบายเกี่ยวกับประเด็นด้านพลังงาน
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ nuttawat.suwattanapongtada@giz.de และ kmteam@tdri.or.th
สรุปประเด็นสำคัญและข้อเสนอแนะ: แนวทางการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทย: การวางแผนระดับประเทศในระยะยาวและนัยยะด้านเศรษฐกิจและสังคม