งาน Transport and Climate Change Week หรือ TCC Week จัดขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ.2560 โดย GIZ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญ ผู้วางแผนนโยบาย หน่วยงานภาครัฐที่ทำงานในภาคคมนาคมขนส่งจากทั่วโลก ได้มาแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายเพื่อร่วมดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งให้ดียิ่งขึ้น ในปีนี้ TCC Week ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 21-25 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ในรูปแบบของการประชุมออนไลน์ โดยกิจกรรมต่างๆ ได้ถูกจัดและเผยแพร่จากเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กิจกรรมต่างๆ มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้พัฒนาศักยภาพจากการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกันระหว่างผู้ที่ทำงานในภาคคมนาคมขนส่ง หน่วยงานพันธมิตร และผู้เชี่ยวชาญ ผ่านหัวข้อการประชุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่องการฟื้นฟูภาคคมนาคมขนส่งหลังการระบาดของโควิด-19 การรับมือกับภัยพิบัติ และความเท่าเทียมทางเพศในภาคขนส่ง
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ภายใต้กระทรวงคมนาคมของไทย ได้เข้าร่วม TCC Week โดยมีคุณอธิภู จิตรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการสำนักแผนงาน รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักแผนความปลอดภัย ได้นำเสนอภาพรวมการพัฒนาและสถานการณ์ปัจจุบันของภาคคมนาคมขนส่งในประเทศไทย โดยเน้นไปที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 การดำเนินงานโครงการในปัจจุบัน ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการตั้งเป้าเพื่อพัฒนาภาคคมนาคมขนส่งของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนในอนาคต
“เมื่อเราผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไป เราคงไม่สามารถย้อนกลับไปสู่วิถีเดิมได้ อย่างไรก็ตามเราต้องไม่ลืมบทบาทหน้าที่ของเราในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจึงมีความตั้งใจที่จะสานต่อความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศเยอรมนีในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนต่อไป” กล่าวโดยนายอธิภู จิตรานุเคราะห์
ในพิธีเปิด คุณชุตินธร มั่นคง หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมการขนส่งที่ยั่งยืน สำนักแผนความปลอดภัย สนข. ได้ร่วมหารือในช่วง “Global Welcome World Café” โดยเน้นไปที่ประเด็นของการพัฒนาระบบราง การก้าวสู่ยุคดิจิทัล เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันการเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทางที่หลากหลาย ตลอดจนการพัฒนาของระบบยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นแนวโน้มการพัฒนาที่สำคัญของประเทศไทย
“ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังสนับสนุนและพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะให้เป็นระบบยานยนต์ไฟฟ้า โดยประเทศไทยกำลังจัดทำแนวทางการพัฒนาระบบยานยนต์ไฟฟ้า (EV roadmap) ภายในปีพ.ศ.2573 ขึ้น โดยตั้งเป้าให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประมาณร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของประเทศ ภายในปีพ.ศ. 2573 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 ภายในปีพ.ศ. 2578 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ภาครัฐจึงได้สนับสนุนการสร้างสถานีเติมประจุไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นทั่วประเทศ และยังตั้งเป้าหมายในการเปลี่ยนรถประจำทางปัจจุบันที่ใช้น้ำมันให้เป็นรถประจำทางพลังงานไฟฟ้าโดยใช้รถที่ผลิตภายในประเทศ รวมทั้งทบทวนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ต่ำลง” คุณชุตินธรกล่าวเพิ่มเติม
ด้านคุณพจนีย์ ขจรปรีดานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโสจากกรมโยธาธิการและผังเมืองได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้บรรยายในการประชุม หัวข้อ “บทบาทของผู้หญิงต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมขนส่งของเอเชีย” ของวันที่ 23 มิถุนายน โดยการประชุมเน้นไปที่การหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับบทบาทสตรีในการผลักดันให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ทั้งในกระบวนการหาแนวทางการแก้ไขปัญหา การวางแผนนโยบายหรือมาตรการการดำเนินงานต่างๆ นอกจากนี้จากประสบการณ์การทำงานและมุมมองของคุณพจนีย์ในฐานะที่เป็นนักผังเมือง ได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรมีการส่งเสริมให้ผู้หญิงโดยเฉพาะนักวางแผนนโยบาย เจ้าหน้าที่ ผู้ใช้บริการระบบคมนาคมขนส่ง ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมขนส่งของประเทศไทย
อีกหนึ่งการประชุมที่น่าสนใจ ซึ่งจัดขึ้นในวันเดียวกัน คือ ‘Expert Clinic’ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศตามความสนใจ ในหัวข้อต่างๆ เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระบบคมนาคมขนส่ง การใช้เชื้อเพลิงที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ แนวทางการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล นโยบายส่งเสริมการเดินและการปั่นจักรยาน การสร้างความปลอดภัยในการเดินทางบนท้องถนน และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนมาใช้รูปแบบการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยระหว่างการประชุม บริษัท Urban Mobility Tech (UMT) ผู้ก่อตั้งบริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าในกรุงเทพฯ หรือ MuvMi ได้หารือและแลกเปลี่ยนความรู้เรื่อง “การเดินทางโดยใช้ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กและรูปแบบการเดินทางในอนาคต” ร่วมกับ ดร. คริส เชอรี่ จากมหาวิทยาลัย Tennessee ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบคมนาคมโดยใช้ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก (Micromobility) อย่างจักรยาน จักรยานไฟฟ้า สกูตเตอร์ไฟฟ้า และสเก็ตบอร์ดไฟฟ้า ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ใช้พลังงานน้อยและก่อให้เกิดความคล่องตัวในการเดินทางสูง โดยการหารือมุ่งประเด็นไปที่การพัฒนาศักยภาพการให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานเพื่อพัฒนาการให้บริการอย่างยั่งยืน รวมทั้งแนวโน้มการใช้ยานพาหนะไร้คนขับในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้ ในการประชุมยังมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยเข้าร่วมบรรยายในหัวข้ออื่นๆ ตลอดการประชุม โดยในวันที่ 24 มิถุนายน ได้มีการประชุมเรื่องการพัฒนายานยนต์สองและสามล้อไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีดร. นุวงศ์ ชลคุป หัวหน้าทีมวิจัยพลังงานทดแทนและประสิทธิภาพพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) และ ดร. ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility & Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานในภาคยานยนต์ไฟฟ้า ด้านดร. ยศพงษ์ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนายานยนต์สองและสามล้อไฟฟ้า (Electric 2&3 Wheelers Roadmaps) ซึ่งได้แก่ รถยนต์ส่วนบุคคล รถโดยสารประจำทาง รถจักรยานยนต์ และรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าของประเทศไทย โดยเน้นเป้าหมายการพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางผู้ผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าและอะไหล่ของโลกภายในปีพ.ศ. 2573 และดร. นุวงศ์ ได้กล่าวถึงโอกาสในการพัฒนายานยนต์สองและสามล้อไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะในภาคพาณิชยกรรม และการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทั้งภาคคมนาคม ภาคพลังงาน และภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลักดันให้มีการผลิตจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศเพิ่มขึ้น
ตลอดการเข้าร่วม TCC Week ของประเทศไทยที่ผ่านมา โครงการสนับสนุนการพัฒนามาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีความท้าทายของภาคการขนส่ง (TRANSfer III) ได้สนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการรวบรวมเอาผู้เชี่ยวชาญในภาคคมนาคมขนส่งเพื่อหารือเกี่ยวกับการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเดินทางระหว่างประเทศ การจัดการประชุมแบบออนไลน์เช่นนี้ ก็สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเดินทางของผู้เข้าร่วมและยังเป็นการเอื้ออำนวยให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมการประชุมได้สะดวกและมากขึ้นด้วย ในโอกาสนี้ หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคคมนาคมขนส่งประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการสร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ตลอดจนข้อแนะนำที่สำคัญต่อการพัฒนาภาคคมนาคมขนส่ง รวมทั้งสานต่อการทำงานร่วมกันในอนาคตเพื่อบรรลุเป้าการพัฒนาภาคคมนาคมขนส่งให้มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ โดยเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและการพัฒนาระบบคมนาคมด้วยยานยนต์ไฟฟ้าต่อไป