ปัจจุบันยานยนต์ไฟฟ้า ได้กลายเป็นทางเลือกที่สำคัญของระบบคมนาคมขนส่งในการนำมาใช้แทนยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากสามารถลดก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศได้ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ได้พัฒนาแค่ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นไปสู่การปฏิรูประบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การพัฒนาเทคโนโลยียานพาหนะไร้คนขับ และการพัฒนาระบบที่สามารถให้ทุกคนใช้ยานพาหนะร่วมกันได้ (shared mobility)
ในโอกาสนี้ โครงการสนับสนุนการพัฒนามาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีความท้าทายของภาคการขนส่ง (TRANSfer III) ร่วมกับ CharIN และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ร่วมจัดอภิปรายกลุ่มเรื่องอนาคตยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Future of Electric Mobility เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมาในงาน ASEAN Sustainable Week เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และวิสัยทัศน์การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงโอกาสทางธุรกิจในภาคการคมนาคมขนส่ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากไทยและต่างประเทศที่มีส่วนร่วมในการบุกเบิกการใช้ระบบขนส่งอย่างยั่งยืนเข้าร่วมการอภิปราย
การสัมมนาครั้งนี้ ครอบคลุมประเด็นหลากหลายด้านที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ โดย ดร.กฤษดา กฤตยากีรณ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Urban Mobility Tech (UMT) ได้นำเสนอเกี่ยวกับการพัฒนารถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า หรือ ‘Muvmi’ และแนวทางการบูรณาการระบบคมนาคมโดยใช้ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก (Micromobility) อย่างเช่น จักรยาน จักรยานไฟฟ้า สกูตเตอร์ไฟฟ้า และสเก็ตบอร์ดไฟฟ้า ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ใช้พลังงานน้อยและก่อให้เกิดความคล่องตัวในการเดินทางสูง ทางด้านคุณเปรมปรีดี กิติรัตน์ตระการ ผู้จัดการบริษัท PTT ExpresSo และผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน บริษัท PTT Corporate Venture Capital คาดการณ์โอกาสการเติบโตทางธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต
“ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นธุรกิจที่มี ‘ศักยภาพทางเศรษฐกิจ’ จึงควรเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือภายในเครือข่าย เพื่อให้เกิดห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการใช้ยานยนต์ในวงกว้าง อันนำไปสู่โมเดลธุรกิจและโอกาสใหม่ๆ สำหรับการขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้หน่วยงานรัฐสามารถให้การสนับสนุนเชิงนโยบายหรือข้อกำหนดที่ช่วยสนับสนุนและลดความเสี่ยงในการลงทุนสำหรับความคิดทางธุรกิจใหม่ๆ และบริษัทสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” คุณเปรมปรีดีกล่าว
ในส่วนของ ดร. แอนดี้ ปาล์มเมอร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Switch Mobility ได้อภิปรายถึงกระบวนการริเริ่มการขนส่งสาธารณะพลังงานสะอาดในสหราชอาณาจักรและประเทศอินเดียเพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคและโอกาสในการแข่งขันทางการตลาดกับประเทศจีน คุณ Jacques Borremans กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัท CharIN หารือถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งไฟฟ้า เช่น สถานีอัดประจุไฟฟ้าและประเภทของหัวจ่ายไฟ ซึ่งมีส่วนช่วยในการขยายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และคุณมาร์วิน สโตลส์ ที่ปรึกษาด้านการขนส่งจากโครงการ TUMI Volt ได้กล่าวถึงแนวทางการผสมผสานเทคโนโลยียานยนต์และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น บริการเรียกรถในรูปแบบการเดินทางทางเดียวกันไปด้วยกัน หรือระบบ Ride Sharing ผ่านทางแอพพลิเคชั่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในภาคการขนส่งในอนาคต
ขณะที่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานการต่างๆ ทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าและระบบยานยนต์ไร้คนขับได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้น แต่การผลักดันในด้านยานยนต์ไฟฟ้าทดแทนพลังงานยังคงต้องการการสนับสนุนจากทางรัฐบาล ในการกำหนดกฎหมายและนโยบายเพื่อให้เกิดการปรับใช้และหาแนวทางพัฒนาที่ภาครัฐและภาคเอกชนสามารถดำเนินการร่วมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาการขนส่งสาธารณะในด้านการให้บริการและโครงสร้างพื้นฐาน
ดร. โดมินิก้า คาลินโนวสก้า ผู้อำนวยการโครงการภาคการคมนาคมขนส่ง GIZ ประจำประเทศไทย/อาเซียน กล่าวว่า “การพัฒนาสิ่งเหล่านี้ จะสามารถสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในการหันมาใช้รถขนส่งสาธารณะแทน อีกทั้งยังช่วยพัฒนาคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นและส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นตามมา ซึ่งผู้ร่วมอภิปรายต่างเห็นด้วยในการที่รัฐควรแสดงจุดยืนในการสนับสนุนเชิงนโยบายและการสร้างแรงจูงใจในภาคยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยการสร้างกรอบการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่มีความโปร่งใสในอนาคต”
ผู้ร่วมอภิปรายต่างเห็นตรงกันว่ายานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับที่สามารถใช้ร่วมกัน ช่วยผลักดันให้เกิดการขนส่งสาธารณะที่ยั่งยืนและการฟื้นตัวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green recovery) หลังจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งเป็นการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคขนส่งในอนาคตมากยิ่งขึ้น โดยไม่ทิ้งความต้องการการเดินทางของบุคคลใดบุคคลหนึ่งไว้ข้างหลัง
นอกจากนี้ แนวคิดเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับที่สามารถใช้ร่วมกันได้ (Shared and autonomous vehicles) ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะสามารถเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงปรับเปลี่ยนการบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ (on-demand service) มากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ผู้ใช้ใช้ยานพาหนะร่วมกัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางได้อีกด้วย
นอกเหนือจากการอภิปรายกลุ่มในหัวข้อข้างต้นแล้ว ยังมีการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจ เช่น การสัมมนาเรื่อง Taiwan Mobility ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากทั้งประเทศไทยและไต้หวันได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ที่ก้าวหน้า โดยในประเทศไต้หวัน รถโดยสารสาธารณะไร้คนขับกำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้งาน ผู้ผลิตต่างพยายามปรับปรุงประสิทธิภาพของมอเตอร์และแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และกำลังพัฒนาในด้านการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการแก้ไขปัญหาจราจรติดขัด เรดาร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางในยานพาหนะ และการวางระบบที่จอดรถอัจฉริยะที่สามารถใช้งานได้ผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ส่วนในประเทศไทย ได้มีการศึกษาทางเลือกที่จะใช้ในการสนับสนุนให้เกิดการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับสถานีอัดประจุไฟฟ้า และเริ่มมีการนำเทคโนโลยีเครื่องติดตามแบบ GPS ของไต้หวันเข้ามาใช้และได้มีการทดสอบติดตั้งในเรือโดยสารสาธารณะไฟฟ้าแล้ว
ทั้งนี้ ดร. กฤษฎา อุตตโมทย์ ประธานสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ยังได้กล่าวว่า “การมุ่งหน้าสู่การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่สะอาดโดยใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จะทำให้ประเทศสามารถบรรลุตามเป้าหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคยานยนต์ของไทย” เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความคาดหวังในระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยานในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ คิดเป็นร้อยละร้อยของการผลิตภายในปี พ.ศ. 2578
โครงการ TRANSfer III ยังคงเดินหน้าสนับสนุนรัฐบาลไทยในการริเริ่ม ‘โครงการภาคการขนส่งเพื่ออากาศสะอาด (Thailand Clean Mobility Program: TCMP)’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกระบวนการสร้างแรงผลักในการลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนและสนับสนุนให้ระบบขนส่งสาธารณะกลายมาเป็นทางเลือกหลักในการเดินทาง หรือที่เรียกว่า ‘Push and Pull Approach’ โดยวิธีการนี้ จะมุ่งเน้นให้รถโดยสารสาธารณะปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้า ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นต้นแบบแก่โครงการในเมืองอื่นๆ ของประเทศไทย