โครงการความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อพัฒนาการฝึกอบรมเทคนิคและการอาชีวศึกษา (RECOTVET) ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการฝึกอบรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะวิชาชีพและสมรรถนะด้านดิจิทัลของบุคลากรอาชีวศึกษาในภูมิภาคอาเซียน จากความสำเร็จของการจัดชุดการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับความต้องการพัฒนาทักษะและสมรรถนะด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียุคดิจิทัลร่วมกัน โดยในปีนี้ทางโครงการฯ และผู้เชี่ยวชาญ วางแผนที่จะผลิตสื่อการเรียนการสอนดิจิทัลและนำขึ้นบนเว็บไซต์ SEA-VET.net หลังจากนั้นจะเปิดตัวบทเรียนฝึกอบรมที่ปรับปรุงแล้วบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ

จากการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นการประชุมออนไลน์ครั้งแรกของชุดการประชุมต่อเนื่อง มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 60 ท่านจากหน่วยงานฝึกอบรมด้านเทคนิคและการอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย และองค์กรความร่วมมือระดับภูมิภาคอาเซียนและนานาชาติ เพื่อต่อยอดการพัฒนาและปรับปรุงบทเรียนฝึกอบรมและเผยแพร่ประสบการณ์ร่วมกันด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัลของบุคลากรอาชีวศึกษาในแต่ละประเทศ โดยโครงการฯ และผู้เชี่ยวชาญได้นำผลจากการประชุมไปวิเคราะห์และพัฒนาแบบสำรวจความต้องการการพัฒนาทักษะของบุคลากรอาชีวศึกษาในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในแบบสำรวจได้อ้างอิงถึงระดับสมรรถนะดิจิทัลของกรอบแนวความคิดสมรรถนะด้านดิจิทัลสำหรับนักการศึกษาในสหภาพยุโรป (The European Framework for Educators’ Digital Competence) ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยเครื่องมือดิจิทัลอื่น ๆ และบริบทรอบตัวโดยรวมของบุคลากรอาชีวศึกษา ยิ่งไปกว่านั้น ในแบบสำรวจยังได้รวบรวมหัวข้อของบทเรียนฝึกอบรมที่มีอยู่เดิมเพื่อให้ผู้ตอบได้สำรวจตัวเองถึงความสำคัญของหัวข้อนั้น ๆ และมีคำถามปลายเปิดให้ได้แสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์เพื่อปรับปรุงบทเรียนให้ดียิ่งขึ้น

ผลการสำรวจความต้องการดังกล่าวได้นำมาเผยแพร่ในการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่สองเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้มีโอกาสเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับเปลี่ยนหัวข้อและเนื้อหาของบทเรียนการฝึกอบรม และโครงการฯ ได้เชิญสำนักงานการพัฒนาทักษะและการอาชีวศึกษาหรือ Technical Education and Skills Development Authority (TESDA), Philippines จากประเทศฟิลิปปินส์ มาเผยแพร่ประสบการณ์การสร้างบทเรียนฝึกอบรมออนไลน์สำหรับบุคลากรอาชีวศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์ด้วย นอกจากนั้น นักออกแบบกระบวนการเรียนการสอนจากบริษัท Learning Plan ประเทศออสเตรเลียยังได้นำเสนอแนวความคิด ความท้าทายและโอกาสอื่น ๆ ต่อการสร้างสื่อดิจิทัลสำหรับบทเรียนฝึกอบรม โดยโครงการฯ และผู้เชี่ยวชาญจะนำผลของการประชุมครั้งนี้ไปปรับปรุงหัวข้อ เนื้อหา และวิธีการสอนของบทเรียนการฝึกอบรม และนำเสนอให้แก่บุคลากรอาชีวศึกษาเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในลำดับถัดไป

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2565 จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวศึกษาได้นำเสนอโครงร่างการปรับปรุงบทเรียนฝึกอบรม โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องของกิจกรรมการเรียนออนไลน์ในรูปแบบมีปฏิสัมพันธ์เวลาเดียวกันหรือผู้เรียนเลือกเวลาเรียนได้ด้วยตัวเอง ระเบียบวิธีการสอน และสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะสมกับบทเรียนการฝึกอบรม นอกจากนั้น การพัฒนาแผนการดำเนินงานว่าด้วยเรื่องการนำบทเรียนฝึกอบรมไปใช้และแปลเป็นภาษาของแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นจุดสำคัญของการประชุมที่โครงการฯ และผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำและร่วมดำเนินงานอย่างใกล้ชิดต่อไป

“เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียุคดิจิทัลและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เราอยู่ในยุคที่ต่างจากเมื่อก่อน การปรับตัวจำเป็นอย่างยิ่งเสมอ เราจึงต้องปรับปรุงและปรับเปลี่ยนบทเรียนฝึกอบรมอยู่สม่ำเสมอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของครูอาชีวศึกษาในอาเซียนและการเดินทางนี้จะไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นเหตุผลที่เราติดต่อสื่อสารกับผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านเสมอ เพราะพวกคุณคือผู้เชี่ยวชาญที่จะเพิ่มคุณภาพของบทเรียนฝึกอบรมนี้” ดร. ปาโยโน่ รองผู้อำนวยการด้านวิชาชีพและการวิจัยจากศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคว่าด้วยการศึกษาด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา (SEAMEO VOCTECH) กล่าวเปิดงานประชุมปฏิบัติการ

จากผลการประชุมปฏิบัติการได้ข้อตกลงร่วมกันเรื่องหัวข้อ เนื้อหาและโครงร่างบทเรียนฝึกอบรมและการสร้างบทเรียนฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับระเบียนวิธีการสอนเชิงรุกและการเรียนรู้ด้วยตนเอง การสร้างสื่อการเรียนการสอนดิจิทัลจะเป็นลำดับถัดไปของการดำเนินงาน หลังจากนั้น สื่อทั้งหมดจะถูกปรับปรุงและรวมไว้ในเว็บไซต์การเรียนรู้เพื่อนำร่องการฝึกอบรมในช่วงประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 และเปิดการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการในรูปแบบผสมผสานระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ต่อจากนั้นจะเป็นการให้คำแนะนำและติดตามการนำบทเรียนฝึกอบรมไปใช้ในแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียน