เพิ่มศักยภาพนวัตกรรมการประกันภัยทางการเกษตรในอาเซียน หนุนเกษตรกรรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ผู้เชี่ยวชาญภาคการเกษตรและประกันภัยแนะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมและเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเร่งด่วน เพื่อจัดการความเสี่ยงทางการเกษตรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร การเงิน รวมถึงตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนกว่า 60 คน เข้าร่วมพูดคุยและประเมินบทบาทด้านการเงิน นวัตกรรม เทคโนโลยีสำหรับการประกันภัยภาคการเกษตรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การจัดการความเสี่ยงทางการเงินของภาคการเกษตรเป็นประเด็นสำคัญที่มีการถกรายละเอียดเชิงลึกในเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการออนไลน์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24-25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ร่วมกับเครือข่ายการประกันภัยรายย่อย (Microinsurance Network: MiN) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร การเงิน รวมถึงตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนกว่า 60 คน เข้าร่วมพูดคุยและประเมินบทบาทด้านการเงิน นวัตกรรม เทคโนโลยีสำหรับการประกันภัยภาคการเกษตร พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนการทำงานในประเทศต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางระดับภูมิภาคสำหรับจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงในห่วงโซ่ทางการเกษตร
“แม้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีทรัพยากรที่เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม แต่การเผชิญกับปัญหาภัยธรรมชาติและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ภูมิภาคของเราที่ประชากรส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก ต้องมีความพร้อมในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดในอนาคต” ลอเรนโซ ชาน (Lorenzo Chan) ประธานเครือข่ายการประกันภัยรายย่อย (MiN) กล่าวระหว่างการเปิดเวทีประชุม
ภาคเกษตรกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คิดเป็นร้อยละ 25 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการเผชิญกับภัยธรรมชาติและสภาพอากาศที่รุนแรงก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ประเทศอินโดนีเซีย ไทย เมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ถือเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อปีพ.ศ. 2563 ประเทศฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติตลอดปี ทั้งภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว พายุไซโคลน ไต้ฝุ่น ดินถล่ม และน้ำท่วม ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับสินค้าเกษตรเป็นมูลค่ากว่า 282 ล้านเหรียญสหรัฐ
เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทยเมื่อปีพ.ศ. 2562 รุนแรงที่สุดในรอบ 17 ปี ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อภาคเกษตรกรรม เครดิตภาพ: กรมประมง
“ผลการศึกษาของเครือข่ายการประกันภัยรายย่อย ประจำปีพ.ศ. 2564 บ่งชี้ว่า ประชากรกว่าห้าพันล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของราคาผลผลิตทางการเกษตรและการเข้าไม่ถึงการประกันภัยที่ครอบคลุม ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการสาธารณะ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างกลไกที่ยั่งยืนในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและเพื่อเป็นหลักประกันให้กับกลุ่มประชากรเปราะบางตลอดห่วงโซ่คุณค่าการเกษตร”ลอเรนโซ ชาน ประธานเครือข่ายการประกันภัยรายย่อย (MiN) กล่าว
ในที่ประชุม ได้มีการเน้นย้ำในเรื่องความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการออกแบบ พัฒนา และนำเสนอแนวทางแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อลดความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับภาคการเกษตร ตลอดจนมุ่งสร้างการรับรู้และศักยภาพผ่านการแบ่งปันบทเรียนและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น
“ไม่มีหน่วยงานใด หน่วยงานเดียวสามารถทำงานขับเคลื่อนการรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเตรียมความพร้อมนวัตกรรมการประกันภัยภาคการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่าเพื่อจัดการกับความท้าทายนี้ อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารกำลังเดินหน้า เพื่อให้เราและครอบครัวมีอาหารทานทุกมื้อ เรามีหน้าที่ที่จะต้องช่วยให้ห่วงโซ่คุณค่านี้ดำเนินต่อไปเช่นกัน” ลอเรนโซ ชาน กล่าวเสริม
สำหรับแผนการดำเนินงานการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงด้านอาหาร ประเทศสมาชิกอาเซียนได้นำกรอบนโยบายอาเซียนมาใช้ร่วมกัน โดยเน้นย้ำในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการรับมือภัยพิบัติ การประกันภัยภาคการเกษตรถือเป็นเครื่องมือในการลดความเสี่ยงให้กับภาคเกษตรกรรม และเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญเพื่อการจัดการกับความท้าทายที่เกิดขึ้นในภูมิภาค
นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับห่วงโซ่คุณค่าของภาคเกษตรกรรม โดยคณะทำงานการเกษตรด้านพืชของอาเซียน (ASEAN Agriculture Working Group on Crops) ได้ร่วมพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียนสำหรับสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2564-2568 (Strategic Plan of Action for the ASEAN Cooperation in Agricultural Cooperative 2021-2025) โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างขีดความสามารถของอาเซียนในการประกันภัยพืชผลระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งนี้ คณะทำงานได้ผลักดันเรื่องประกันภัยพืชผลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560
ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถดังกล่าวให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน GIZ ประจำประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับสำนักเลขาธิการอาเซียนในการพัฒนาแนวทางว่าด้วยการดำเนินการประกันภัยทางการเกษตรในอาเซียน (ASEAN Guideline on Agricultural Insurance Implementation) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการสรุปผล และจะเสนอต่อคณะทำงานฯ ในกลางปีพ.ศ. 2565 นี้
ดร. อันญ่า เอิลเบค (Anja Erlbeck) ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน กลุ่มเกษตรและความปลอดภัยด้านอาหาร องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทยนำเสนอภาพรวมการประกันภัยภาคการเกษตรของอาเซียน
การประกันภัยภาคการเกษตรไม่ใช่ประเด็นใหม่สำหรับภูมิภาคนี้ ในปี พ.ศ. 2523 ประเทศฟิลิปปินส์ได้เปิดตัวโครงการประกันพืชผล ปศุสัตว์ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำระดับชาติเป็นครั้งแรก ต่อมาประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรเช่นเดียวกัน ดร. อันญ่า เอิลเบค (Anja Erlbeck) ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน กลุ่มเกษตรและความปลอดภัยด้านอาหาร ของGIZ กล่าว
การให้เงินอุดหนุนและการเชื่อมโยงสินเชื่อ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขยายการประกันการเกษตรในห่วงโซ่คุณค่า ในขณะเดียวกันการสนับสนุนปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ไม่ใช่ปัจจัยทางการเงินอย่างปุ๋ย ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการปรับขนาดกลไกประกันภัยภาคการเกษตรได้
ดร. เอิลเบค เล็งเห็นถึงทิศทางของนวัตกรรมและกลไกประกันภัยภาคการเกษตรในภูมิภาค เธอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบดัชนี การกระตุ้นความสนใจของภาคเอกชน พร้อมกับการส่งเสริมการดำเนินการประกันภัย เพื่อลดความเสี่ยงในห่วงโซ่คุณค่าและการทดสอบเทคโนโลยีทางการเกษตร
กรอบแนวทางและแผนการดำเนินงานการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงด้านอาหาร พร้อมกับการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศภูมิภาคอาเซียน
กี่เดช อนันต์ศิริประภา ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย และประธานคณะทำงานประกันการเกษตรอาเซียน สภาธุรกิจประกันภัยอาเซียน กล่าวว่า สมาคมฯ ได้จัดให้มีเวทีเสวนาสำหรับภาคการเกษตร บริษัทประกันภัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลและแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระหว่างประเทศสมาชิก ในการพัฒนาระบบการประกันภัยภาคการเกษตร
คุณกี่เดชยังได้แบ่งปันประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยในโครงการประกันภัยภาคการเกษตรแบบที่สนับสนุนเบี้ยเพิ่มเติมว่า มีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมดำเนินงานขับเคลื่อนโครงการระดับชาติ ประจำปีพ.ศ. 2564 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 40 ราย “องค์กรภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินโครงการประกันภัยภาคการเกษตรได้โดยลำพัง หากปราศจากเจตจำนงทางการเมืองและความร่วมมือที่แข็งแกร่งจากภาครัฐ” เขากล่าวในระหว่างการประชุม
ยุก จำเริญฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ประกันฟอร์เต้ (กัมพูชา) จำกัด (Forte Insurance) ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การทดสอบโครงการนำร่องผลิตภัณฑ์ประกันแบบดัชนีสภาพอากาศ ความชื้นในดิน และผลผลิต ในปีพ.ศ. 2558-2564 และกล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลสำหรับประกันภัยแบบดัชนี
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับมุมมองและโอกาสในการดำเนินงานร่วมกันในระดับภูมิภาค ผ่านการนำเอานวัตกรรมการประกันภัยภาคการเกษตรมาใช้ เพื่อส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ยืดหยุ่น โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ได้มีความเห็นร่วมกันในการดำเนินการร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน รวมไปถึงการส่งเสริมนวัตกรรมการประกันภัยอีกด้วย
ดร. อันญ่า เอิลเบค
อีเมล:anja.erlbeck(at)giz.de