อะไรเป็นช่องว่างและหนทางไปสู่การคาดการณ์ภูมิอากาศในประเทศไทย
อะไรเป็นความท้าทายในการใช้ข้อมูลสภาพภูมิอากาศในอนาคตเพื่อประเมินความเสี่ยงและความเปราะบางของประเทศไทย รวมถึงการตีความข้อมูลสำหรับใช้ในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2559 ได้มีการหารือคำถามเหล่านี้และประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเวทีการประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อเตรียมจัดทำแผนการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับชาติ (NAP) ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยการสนับสนุนของ GIZ ภายใต้กรอบโครงการสนับสนุนการจัดทำแผนการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบนมิติการจัดการความเสี่ยง (Risk-NAP)
สำหรับระยะแรกของกระบวนการจัดทำ NAP ของประเทศไทย สผ. ได้จัดให้มีการศึกษาเพื่อประเมินความเปราะบางระดับชาติ ซึ่งมุ่งประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความเปราะบางภายในภาคส่วนหลักของประเทศ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ การท่องเที่ยว การเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร สาธารณสุข ความมั่นคงและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
สำหรับร่างแรกของ NAP ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญแบบจำลองภูมิอากาศได้ถูกเชิญมาร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการคาดการณ์ภูมิอากาศและการจัดทำแบบจำลองภูมิอากาศในประเทศไทย การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการการประชุมซึ่งวางแผนจะจัดอย่างต่อเนื่องในปี 2559 โดยการประชุมแต่ละครั้งจะมีหัวข้อที่มีจุดเน้นแตกต่างกันออกไปภายใต้หัวข้อการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย ซึ่งล้วนแต่มุ่งขยายแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของกระบวนการจัดทำแผนระดับชาติ NAP และเชื่อมโยงการหารือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ปฏิบัติเข้าหากัน
มีการนำเสนอและอภิปรายแบบจำลองภูมิอากาศระดับโลกและระดับภูมิภาคในสี่ช่วง ซึ่งทั้งหมดสื่อถึงความท้าทายของการลดขนาดแบบจำลองต่างๆ ลงไปในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น “ยิ่งเราลงลึกไปในระดับท้องถิ่นมากเท่าไหร่ การคาดการณ์ก็จะยิ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้น” ดร. อัศมน ลิ่มสกุล กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม อธิบาย พร้อมเสริมว่า “การสร้างแบบจำลองเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เก็บรวบรวมข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศจำนวนมาก โดยข้อมูลดังกล่าวถูกนำไปใช้ในแบบจำลองที่หลากหลาย เพื่อคาดการณ์ภูมิอากาศระดับประเทศ อย่างไรก็ดี ความท้าทายหลักยังคงเป็นเรื่องของการดึงผลลัพธ์จากแต่ละแบบจำลองมาใช้ “ไม่มีฐานข้อมูลกลาง” ดร. อัศมน ตั้งข้อสังเกต “เมื่อสิบปีก่อน เราแทบไม่มีข้อมูล แต่ตอนนี้เราต้องหาวิธีที่จะจัดการข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ”
ประเด็นสำคัญอีกสองประเด็น คือความพร้อมใช้งานของข้อมูลดังกล่าวสำหรับผู้มีอำนาจตัดสินใจในระดับท้องถิ่น และการเลือกขนาดการประเมินความเปราะบาง ซึ่งมีความเห็นที่ตรงกันจากผู้เชี่ยวชาญว่าการประเมินความเสี่ยงหรือความเปราะบางไม่ควรจำกัดอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่ตามการปกครอง (จังหวัดหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) “เราหลงทางไปเพราะเราได้แต่มองเพียงในระดับจังหวัดและไม่ได้ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในระดับที่เล็กลงกว่านั้น” ดร. ราชภัทร รัตนวราห สถานวิจัยทรัพยากรแหล่งน้ำลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรามงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่นกล่าว อันที่จริงผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเน้นว่า ในการประเมินความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเลือกมาตรการปรับตัวที่เหมาะสม จะต้องมีการพิจารณาพื้นที่และขอบเขตทางธรรมชาติ อาทิ พื้นที่ลุ่มน้ำร่วมด้วย ซึ่งสื่อว่าการประเมินความเสี่ยงควรดำเนินการในหลายระดับและพิจารณาข้อมูลหลายชั้น
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องกันที่จะนำข้อมูลและทรัพยากรของกรมอุตุนิยมวิทยา มาใช้งานให้ดีขึ้น โดย ดร.สมชาย อดีตรองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ให้ข้อมูลว่ากรมอุตุนิยมวิทยาเพิ่งได้รับงบประมาณในการจัดหาแบบจำลองภูมิอากาศและเครื่องมือใหม่ๆ โดยอาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือนเพื่อป้อนข้อมูลทั้งหมดเข้าไปในซอฟท์แวร์ใหม่ อย่างไรก็ดี เครื่องมือที่มันสมัยขึ้นจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือขึ้นเพื่อนำไปวิเคราะห์สำหรับดำเนินการเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ