พลังเสียงจากผู้หญิงผู้ขับเคลื่อนวงการไฮโดรเจน ตอนที่ 4: ผู้หญิงผู้ขับเคลื่อนพลังงานแห่งอนาคตของมาเลเซีย

บทความพลังเสียงจากผู้หญิงผู้ขับเคลื่อนวงการไฮโดรเจน ตอนที่ 4 จะพาไปทำความรู้จักกับคุณโนราซิยะ มูดา หัวหน้าฝ่ายพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีสีเขียว ที่ TNB Research Sdn. Bhd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท เทนากา นาซิโอนาล เบอร์ฮาด (TNB) จำกัด บริษัทผู้ให้บริการไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย โดยคุณโนราซิยะเริ่มต้นจากการทำงานวิจัยด้านการดักจับคาร์บอน (carbon capture) จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโครงการพลังงานไฮโดรเจนและพลังงานสีเขียวที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย เส้นทางการทำงานของเธอแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคนิคและการเป็นผู้นำที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานได้อย่างดีเยี่ยม
คุณโนราซิยะเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยม) สาขาวิศวกรรมกระบวนการเคมี ด้านเทคโนโลยีเชื้อเพลิงจากมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ ประเทศอังกฤษ และเชี่ยวชาญเทคโนโลยีพลังงานเชื้อเพลิง หลังจากเรียนจบ คุณโนราซิยะได้ทำงานมากกว่า 10 ปีโดยเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ (low-carbon technologies) เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน ไฮโดรเจน รวมถึงด้านพลังงานหมุนเวียน ในฐานะนักวิศวกรรมและนักเทคโนโลยีขึ้นทะเบียนและเป็นสมาชิกของหลากหลายองค์การวิชาชีพชั้นนำ เช่น สมาชิกสถาบันวิศวกรมาเลเซีย (MIEM) และวิศวกรวิชาชีพอาเซียน (ACPE) คุณโนราซิยะมีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมงานวิจัยด้านไฮโดรเจนและช่วยขับเคลื่อนแนวทางแก้ไขปัญหาด้านพลังงานที่เป็นรูปธรรมและตอบโจทย์ที่หลากหลายของประเทศมาเลเซียในช่วงต้น
นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำของเธอยังขยายขอบเขตไปมากกว่าด้านนวัตกรรมเชิงเทคนิค เพราะเธอยังผลักดันการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่โอบรับความแตกต่าง และเป็นกระบอกเสียงให้ผู้หญิงในการปฏิวัติเพื่อพลังงานสะอาด ด้วยประสบการณ์ทีสั่งสมมายาวนาน คุณโนราซิยะแสดงให้เห็นถึงบทบาทความเป็นผู้นำและพลังของผู้หญิงในการผลักดันอุตสาหกรรมไฮโดรเจนและพลังงานในประเทศมาเลเซีย
ผู้หญิงผู้ทรงพลังในการขับเคลื่อนพลังงานอนาคตของมาเลเซีย
1. จากคาร์บอนสู่ไฮโดรเจนสะอาด: การเดินทางของผู้นำที่ยึดมั่นในนวัตกรรมและเป้าหมายเพื่ออนาคต
เส้นทางของโนราซิยะในวงการไฮโดรเจนและพลังงานสะอาดเริ่มต้นจากการเป็นหัวหน้านักวิจัย (Principal Researcher) ของแผนกการผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ ในบริษัทผู้ให้บริการไฟฟ้าชั้นนำของมาเลเซีย หน้าที่หลักของเธอคือการค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายระดับประเทศ ภายใต้พันธสัญญาที่มาเลเซียให้ไว้ในการประชุม COP15 ในเรื่องการลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลงให้ได้ร้อยละ 45 ภายในปี พ.ศ. 2573 เมื่อเทียบกับระดับในปี พ.ศ. 2548
“หนึ่งในโครงการแรก ๆ ของศูนย์วิจัยเราเน้นไปที่เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilisation and Storage – CCUS) ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการลดคาร์บอนจากระบบผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม แต่เมื่อโครงการดำเนินงานไปได้ระยะหนึ่ง เราเริ่มตระหนักว่าเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา เราจึงเริ่มหันมาศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จาก CO₂ มากขึ้น โดยเฉพาะกระบวนการเติมไฮโดรเจน (hydrogenation) ของก๊าซ CO₂ ซึ่งต้องอาศัยไฮโดรเจนเป็นคู่ปฏิกิริยา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของฉันในการทำงานด้านไฮโดรเจนอย่างจริงจังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา จากหัวข้อวิจัยเฉพาะทางแล้วค่อย ๆ ขยายความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อกระแสโลกหันมาให้ความสนใจกับไฮโดรเจนในบทบาทที่หลากหลาย ไม่เพียงแต่ในด้านการเปลี่ยน CO₂ ให้เป็นพลังงาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว การกักเก็บพลังงาน การใช้ในภาคขนส่ง รวมถึงการใช้ไฮโดรเจนเป็นตัวพาพลังงาน (energy carrier) สะอาดในระยะยาวอีกด้วย”

โนราซิยะเล่าว่า การทำงานที่สถาบันวิจัยและพัฒนาในภาคพลังงานเปิดโอกาสให้เธอได้รับมือกับความท้าทายในอุตสาหกรรมยุคปัจจุบัน และช่วยทำให้เธอคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นและร่วมกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีเพื่ออนาคต สิ่งที่จุดประกายให้นิโรซิยะก้าวเข้าสู่บทบาทผู้นำอย่างเต็มตัว คือการที่เธอตระหนักว่า เธอสามารถใช้โอกาสนี้ส่งเสริมให้ทีมของเธอร่วมเข้าไปอยู่เบื้องหน้าที่ไม่ใช่แค่ทำงานวิจัยเท่านั้น แต่รวมยังได้ร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค
“เรามีโอกาสที่จะมองเกินกว่าแค่เป้าหมายระยะสั้นและตั้งคำถามที่สำคัญว่า ‘ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมพลังงานคืออะไร?’ การผสมผสานระหว่างการมีวิสัยทัศน์กับความรู้ด้านนวัตกรรมช่วยหล่อหลอมความเป็นผู้นำอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้หญิงไม่ใช่แค่ผู้สังเกตการณ์ว่ากระแสโลกได้หันมาให้ความสำคัญกับไฮโดรเจน แต่เรายังเป็นทั้งผู้ร่วมลงมือ ประสานงาน และเป็นผู้นำทางความคิดในกระบวนการมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันต้องการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่การปรับแค่เพียงเล็กน้อย แต่ฉันอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมอย่างแท้จริง การจะเป็นผู้นำในด้านนี้ เราต้องกล้าผลักดันแนวคิดใหม่ ๆ สนับสนุนทางเลือกพลังงานสะอาด และร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนเพื่อองค์กรและประเทศของเราในระยะยาว”
2. สตรีผู้นำร่วมสร้างเศรษฐกิจไฮโดรเจนของมาเลเซีย
เศรษฐกิจด้านไฮโดรเจนของมาเลเซียกำลังก้าวหน้าอย่างมั่นคงภายใต้กลยุทธ์ระดับชาติที่มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานคาร์บอนต่ำ (low-carbon energy system) ด้วยทรัพยากรพลังงานหมุนเวียนที่อุดมสมบูรณ์ ประกอบกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ยาก (hard-to-abate sectors) ทำให้ไฮโดรเจนกลายเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมการใช้ไฟฟ้าในระบบพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี การผลิตเหล็ก การบิน การเดินเรือ และการขนส่งด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่เริ่มสนใจไฮโดรเจนในฐานะพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืนแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งในฐานะตัวพาพลังงาน (energy carrier) และปัจจัยสำคัญในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ผู้นำหญิงได้ก้าวเข้ามามีบทบาทที่โดดเด่นและทรงอิทธิพลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภาคการขนส่งและเทคโนโลยีพลังงานที่ปัจจุบันมีสัดส่วนของบุคลากรผู้หญิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในด้านการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (hydrogen fuel cell) การขับเคลื่อนระบบคมนาคมอย่างยั่งยืน (sustainable mobility) หรือการวิจัยเพื่อการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ในสถาบันวิจัยด้านวิศวกรรมและองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้หญิงไม่ได้เพิ่งเริ่มงานในสายนี้ แต่ยังขึ้นแท่นเป็นผู้นำในโครงการด้านเทคนิค นำเสนอนโยบายสำคัญ วางกลยุทธ์สำหรับการทดลองใช้เทคโนโลยีในระดับนำร่อง ผลักดันการพูดคุยที่เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เข้ากับโมเดลธุรกิจ และจัดวางทิศทางการนำกลยุทธ์และไปใช้ในระดับนำร่องและความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน ในขณะที่มาเลเซียกำลังก่อร่างสร้างเศรษฐกิจด้านไฮโดรเจน ผู้หญิงไม่ได้เป็นเพียงผู้มีส่วนร่วมเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถขับเคลื่อนความก้าวหน้าที่สำคัญ และการวางแผนการเปลี่ยนผ่านที่ครอบคลุมทุกมิติ
“เป็นเรื่องน่าภูมิใจที่ศูนย์วิจัยไฮโดรเจนที่ฉันเป็นหัวหน้าทีมมีสัดส่วนพนักงานผู้ชายและผู้หญิงในทีมเกือบเท่ากัน โดยผู้หญิงหลายคนที่ศูนย์ฯ มีตำแหน่งสำคัญในระดับอาวุโส เช่น การนำทีมวิจัย การจัดการความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนโครงการเชิงกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไฮโดรเจนและพลังงานสะอาด ความหลากหลายนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทีมในการช่วยกันแก้ปัญหาที่รอบด้าน การแลกเปลี่ยนมุมมองที่หลากหลาย และความยืดหยุ่นในการรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนในงานด้านพลังงาน”
3. วัฒนธรรม ความยืดหยุ่น และการมีตัวแทน คือกลไกสำคัญในการขจัดอุปสรรคของผู้หญิง
โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงในภาคพลังงานยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการมีตัวแทนผู้หญิงในตำแหน่งทางเทคนิคและตำแหน่งผู้นำที่ยังน้อยเมื่อเทียบกับผู้ชาย การขาดผู้หญิงที่เป็นต้นแบบในสายอาชีพนี้ รวมถึงวัฒนธรรมในที่ทำงานที่อาจยังยึดติดกับภาวะผู้นำแบบดั้งเดิมโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ การรักษาสมดุลระหว่างหน้าที่การงานและความรับผิดชอบในครอบครัวยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะสายงานที่ท้าทาย เช่น การทำงานภาคสนาม การทำงานหลายชั่วโมง หรือการต้องเดินทางบ่อย ซึ่งมักขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและงานอย่างหนักหน่วง
อย่างไรก็ตาม โนราซิยะเชื่อว่าอุปสรรคเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราสามารถก้าวข้ามได้อย่างแน่นอน หากมีการออกแบบแนวทางสนับสนุนที่เหมาะสม เช่น การพัฒนาการฝึกอบรมที่เสริมสร้างภาวะผู้นำเฉพาะกลุ่ม การเปิดโอกาสให้เข้าถึงการฝึกอบรมด้านเทคนิคอย่างเท่าเทียม และการทำให้การทำงานแบบยืดหยุ่นกลายเป็นเรื่องปกติในองค์กร นอกจากนี้ “การมีตัวแทนของผู้หญิงในสายงาน” ก็เป็นพลังสำคัญเช่นกัน เมื่อผู้หญิงรุ่นใหม่ได้เห็นคนที่มีพื้นเพใกล้เคียงกับตนประสบความสำเร็จในสายงานเทคนิคหรือก้าวสู่ระดับผู้นำ ก็เป็นการส่งสารอย่างชัดเจนว่าเส้นทางสู่งานสายนี้ยังมีอยู่ และพวกเธอก็สามารถก้าวหน้าได้ หากภาคพลังงานต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ต้องเปลี่ยนจากการมองว่าการโอบรับความหลากหลาย (inclusion) นั้นเป็นเพียงแค่นโยบาย แล้วหันมาโอบรับให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร เป็นวัฒนธรรมที่ยอมรับศักยภาพของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศใด เป็นวัฒนธรรมที่ให้คุณค่าและมองเห็นบทบาทของผู้หญิงอย่างชัดเจน และเป็นวัฒนธรรมที่ออกแบบระบบให้ทุกคนสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างเท่าเทียมกัน

คุณโนราซิยะได้แบ่งปันเรื่องราวการทำงานด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานให้นักวิเคราะห์ฟังในงาน Energy Industry Sharing Session ที่บริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเน้นความสำคัญของการร่วมมือข้ามภาคอุตสาหกรรมในการเร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ โนราซิยะยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้การสนับสนุนและเปิดกว้าง ยอมรับในบทบาทที่หลากหลายของผู้หญิง ทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัว ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
“ศูนย์วิจัยของฉันมีสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งเป็นการสนับสนุนที่มีค่ามาก เพราะเมื่อลูก ๆ ของฉันยังเล็ก ฉันสามารถฝากลูกไว้ได้อย่างปลอดภัยและอยู่ใกล้ตัว ทำให้ฉันและคุณแม่หลายๆ คนในองค์กรสามารถมุ่งมั่นทำงานได้อย่างเต็มที่ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่กลับมีความหมายมากในการเสริมพลังให้ผู้หญิงสามารถทำงาน เติบโต และเป็นผู้นำในสายอาชีพได้โดยไม่ต้องเลือกแค่งานหรือครอบครัวเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง”
4. การสร้างผู้นำหญิงในภาคไฮโดรเจนอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้างและวัฒนธรรมในองค์กร
หากเราอยากเห็นผู้หญิงก้าวขึ้นมามีบทบาทผู้นำมากขึ้นในภาคส่วนไฮโดรเจนและพลังงานสะอาด โนราซิยะเน้นย้ำถึงความสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในทุกระดับ ในฐานะแม่ของลูกทั้งหกคนและผู้นำในสายงานนี้ โนราซิยะได้เรียนรู้ว่าคนเก่งนั้นมีอยู่ทุกที่ แต่โอกาสไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกันเสมอไป
ในมุมมองของโนราซิยะ เธอชี้ให้เห็นถึงสี่แนวทางในการบ่มเพาะความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมไฮโดรเจนและพลังงาน
- อันดับแรก ภาคส่วนนี้ต้องการ “เส้นทางเติบโตอย่างทั่วถึง” ที่เปิดกว้างสำหรับผู้หญิงตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมผ่านการศึกษา การมีผู้ชี้แนะที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจ หรือการสร้างโอกาสในระดับเริ่มต้นให้ผู้หญิงได้เข้ามาสัมผัสและเลือกเส้นทางอาชีพในสาขาเทคนิคและพลังงานสะอาดนี้ เศรษฐกิจด้านไฮโดรเจนยังอยู่ในระยะตั้งไข่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการร่วมกันออกแบบอนาคตของระบบพลังงานให้มีความสมดุลและหลากหลายตั้งแต่ต้น ผู้หญิงมีมุมมองที่แตกต่างซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการสร้างนวัตกรรม ความยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือ ซึ่งล้วนเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านพลังงานในยุคใหม่
- อันดับที่สอง นโยบายที่ชาญฉลาดและตระหนักถึงบทบาทของครอบครัวมากขึ้น เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้หญิงที่ต้องการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังจากหยุดพักการทำงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งด้านเทคนิคหรือระดับผู้นำ โดยนโยบายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยสนับสนุนการหาจุดกึ่งกลางระหว่างงานและครอบครัวให้แก่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังการแสดงความรับรู้ถึงคุณค่าในบทบาทและศักยภาพของผู้หญิงในการผลักดันแวดวงไฮโดรเจนและพลังงานสะอาด
- อันดับที่สาม กลุ่มคนสนับสนุนผู้นำหญิงอยู่เบื้องหลังก็มีความสำคัญ เช่น ครอบครัวควรแบ่งหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน หรือส่งเสริมให้คู่ชีวิตของผู้นำหญิงมีบทบาทเพิ่มขึ้น
- อันดับสุดท้าย โนราซิยะกล่าวว่า ความเชื่อมั่นและการเสริมพลังให้แก่ผู้หญิงในภาคอุตสาหกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพความเป็นผู้นำของพวกเธอ และสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความเท่าเทียมซึ่งรวมผู้หญิงเป็นส่วนหนึ่งในวิถีปฏิบัติทั่วไป
“ผู้หญิงต้องไม่นั่งที่โต๊ะประชุมเฉย ๆ แต่พวกเธอต้องมีสิทธิ์มีเสียงในที่ประชุมด้วย เมื่อผู้คนยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะทำงานด้านเทคนิคและขึ้นเป็นผู้นำ พวกเธอจะไม่ถูกมองข้ามอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรทัดฐานใหม่ในสังคม”
5. คำแนะนำสำหรับผู้หญิงรุ่นใหม่ในวงการพลังงานสะอาด
โนราซิยะเสนอให้ผู้หญิงในอุตสาหกรรมนี้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ความรักที่คุณมีต่อการเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้า และอนาคตที่คุณหวังจะสร้างนั้น ลึกซึ้งแค่ไหน?” เธอมองว่าความสำเร็จในอุตสาหกรรมพลังงานและไฮโดรเจนไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความมุ่งมั่น การมีเป้าหมาย และความเพียรพยายามด้วย เธอจึงสนับสนุนให้ผู้หญิงในอุตสาหกรรมไฮโดรเจนเชื่อมั่นในตนเอง และเดินหน้าสำรวจสิ่งต่าง ๆ ด้วยความมั่นใจและความอยากเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด ผู้หญิงในอุตสาหกรรมนี้ควรใช่ใจนำทางเพื่อเปิดรับความท้าทายและก้าวออกจากพื้นที่ที่คุ้นเคย (comfort zone) พร้อมกล้าที่จะท้าทายข้อจำกัดบางประการที่อาจเคยบั่นทอกำลังใจของพวกเธอ
ท้ายที่สุด โนราซิยะร่วมแลกเปลี่ยนถึงผู้หญิงรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำงานในวงการไฮโดรเจนและพลังงานสะอาดว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างความทะเยอทะยานและครอบครัว การมีสภาพแวดล้อมที่พร้อมสนับสนุนและเปิดกว้างจะช่วยให้ผู้หญิงเติบโตทั้งในด้านชีวิตครอบครัวและช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไปพร้อมกัน

“ในฐานะผู้หญิง แม่ และผู้นำด้านนวัตกรรมไฮโดรเจน ฉันต้องสร้างสมดุลให้กับบทบาทต่าง ๆ และฉันอยากบอกคุณว่า คุณไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างความทะเยอทะยานในหน้าที่การงานกับครอบครัว สิ่งที่คุณต้องการคือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม นั่นก็คือ คู่ชีวิตที่เดินเคียงข้าง ทีมที่สนับสนุนคุณ และสถานที่ทำงานที่เห็นคุณค่าของตัวตนที่สมบูรณ์ของคุณ เมื่อคุณก้าวสู่บทบาทของผู้นำ จงเป็นคนที่สร้างสภาพแวดล้อมแบบเดียวกับที่เคยผลักดันให้คุณเดินทางมาไกลถึงวันนี้ เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้คุณรู้ไว้ว่า ‘ภาคส่วนนี้ไม่ได้แค่ยินดีที่คุณอยู่ตรงนี้ แต่ที่นี่ต้องการคุณ’ เพราะอย่างที่เคยกล่าวไปก่อนหน้าว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับ ‘ผู้คน’ ที่มาร่วมขับเคลื่อน เราต้องการผู้หญิงที่มีวิสัยทัศน์ มีจิตใจที่เต็มไปด้วยความรัก และมีความหลงใหล เพื่อที่จะนำพาเราไปข้างหน้า”
ขณะที่มาเลเซียกำลังก้าวไปสู่อนาคตที่มีการผลิตคาร์บอนต่ำ ผู้นำอย่างคุณโนราซิยะ มูดา เป็นทั้งเข็มทิศและผู้ช่วยในการเร่งการเปลี่ยนแปลง เธอร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมและปูทางให้ภาคพลังงานได้พัฒนาอย่างครอบคลุมในหลายด้าน บทสัมภาษณ์ของเธอไม่ได้สะท้อนให้เห็นแค่ศักยภาพของไฮโดรเจนในฐานะพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นถึงพลังของผู้นำในหลากหลายมิติอีกด้วย คุณโนราซิยะได้ย้ำเตือนว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ด้วยการสร้างพื้นที่ให้ผู้หญิงได้เป็นผู้นำและเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสามารถช่วยปลดล็อกศักยภาพของภาคเศรษฐกิจไฮโดรเจนได้อย่างเต็มที่ การมีผู้นำที่เป็นผู้บุกเบิกอย่างคุณโนราซิยะ มาเลเซียจึงพร้อมก้าวสู่การขับเคลื่อนพลังงานแห่งอนาคตที่สะอาด ยั่งยืน และเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียมให้กับทุกภาคส่วนในสังคม