"SUPA ประเทศไทย" พลิกวิกฤติไฟป่าสู่ต้นแบบการจัดการป่าพรุอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี

โครงการการใช้ประโยชน์ป่าพรุและบรรเทาหมอกควันอย่างยั่งยืนในอาเซียน (Sustainable Use of Peatlands and Haze Mitigation in ASEAN: SUPA) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป (EU) และรัฐบาลเยอรมัน ดำเนินการโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย ร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดความเสียหายจากไฟป่าในพื้นที่ป่าพรุ ในปีแรกของการดำเนินงาน (พ.ศ. 2566-2567) โครงการ SUPA สามารถลดความเสียหายจากไฟป่าได้อย่างมีนัยสำคัญถึง 95% แม้โครงการจะมีกำหนดเสร็จสิ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 ผลสำเร็จของโครงการยังคงเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

“1 ปีแห่งความสำเร็จที่เปลี่ยนวิกฤติไฟป่าพรุสู่การจัดการอย่างทันสมัย”
เพียงปีแรกของการดำเนินการโครงการ SUPA ในประเทศไทย (พ.ศ.2566-2567) สามารถลดความเสียหายจากไฟป่าพรุลงถึง 95% ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นในระดับประเทศและภูมิภาค ผลลัพธ์นี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย การเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในพื้นที่ และการปรับปรุงกลไกการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ หนึ่งในหัวใจสำคัญของความสำเร็จคือ ระบบเครือข่ายเซนเซอร์อัจฉริยะไร้สายด้วยเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ที่ติดตั้งในพื้นที่ป่าพรุ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 ตารางกิโลเมตร ทำหน้าที่เฝ้าระวังระดับน้ำแบบทันทีทันใด ข้อมูลที่รวบรวมได้จะถูกส่งตรงไปยังเจ้าหน้าที่ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งช่วยให้สามารถตัดสินใจและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ลดระยะเวลาการประเมินสถานการณ์น้ำจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่วินาที

นอกจากนี้ โครงการยังสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันและบริหารจัดการไฟป่ามูลค่าหลายล้านบาท โดยเฉพาะสนับสนุนการใช้โดรนกว่า 23 ลำ แบ่งเป็นโดรนขนาดเล็กสำหรับลาดตะเวนและวางแผนเชิงพื้นที่ และโดรนถ่ายภาพความร้อนที่สามารถตรวจจับจุดความร้อนได้อย่างละเอียด การใช้โดรนช่วยเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการลาดตระเวนพื้นที่ป่าพรุที่ยากต่อการเข้าถึง อีกทั้งยังลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกิดไฟป่า จากการประเมินผลภาคสนามของโครงการฯ พบว่า เทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ถึงกว่า 90% และช่วยให้การจัดการไฟป่ามีความปลอดภัยและทันต่อเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น “โครงการ SUPA ได้พิสูจน์ว่า การใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการพัฒนาคนในพื้นที่สามารถเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส และสร้างระบบจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในระยะยาว” ธวัฒชัย ปาละคะมาน หัวหน้าโครงการ SUPA ในประเทศไทย กล่าว

“การพัฒนาคนในท้องถิ่นเพื่อวางรากฐานความยั่งยืนในระยะยาว”
โครงการ SUPA ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่า แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในพื้นที่ เพื่อสร้างระบบจัดการทรัพยากรให้สามารถคงอยู่ได้ในระยะยาว โครงการได้ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่กว่า 50 คนในด้านต่างๆ เช่น การใช้งานโดรน การเฝ้าระวังไฟป่า และการประเมินความเสี่ยง ซึ่งล้วนเป็นทักษะสำคัญสำหรับการจัดการพื้นที่ป่าพรุอย่างมีประสิทธิภาพ จากการประเมินผลการฝึกอบรม พบว่า 84% ของผู้เข้าร่วมสามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ และ 31% มีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้สู่บุคลากรรุ่นใหม่ในอนาคตได้ ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงการพัฒนาบุคลากรทั้งการเพิ่มทักษะ รวมถึงการสร้างเครือข่ายบุคลากรที่พร้อมนำความรู้ไปต่อยอดในพื้นที่อื่นๆ “สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างระบบที่ยั่งยืน ซึ่งเจ้าหน้าที่และชุมชนสามารถดูแลและบริหารจัดการป่าพรุได้ด้วยตัวเอง แม้โครงการจะสิ้นสุดลง” ธวัฒชัย ปาละคะมาน กล่าว การมุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรของ SUPA ช่วยลดผลกระทบจากไฟป่าในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สามารถดำเนินงานได้อย่างเป็นอิสระและยั่งยืนแม้ไม่มีการสนับสนุนจากโครงการอีกต่อไป

โครงการ SUPA ไม่เพียงสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นในประเทศไทย แต่ยังได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค โดยมีการนำเสนอผลสำเร็จในงาน ASEAN Science Biodiversity Forum ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือกับ ASEAN Center for Biodiversity โดยแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโครงการในการเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน แม้โครงการมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 เทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่โครงการถ่ายทอดให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะยังคงสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งในด้านการจัดการไฟป่าและการพัฒนาป่าพรุอย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญของความร่วมมือระดับนานาชาติ การนำเทคโนโลยีมาใช้ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสและสร้างระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง โครงการ SUPA จึงถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ GIZ ประจำประเทศไทย ร่วมขับเคลื่อนให้เกิดอนาคตที่ยั่งยืน และเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาคต่อไป

ธวัฒชัย ปาละคะมาน
หัวหน้าโครงการ SUPA ในประเทศไทย
อีเมล: thawatchai.palakhamarn(at)giz.de