โครงการ SUPA จัดการสนทนานโยบายเพื่อส่งเสริมการจัดการพื้นที่ป่าพรุอย่างยั่งยืนในไทย

กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย — วันที่ 26-27 กันยายน พ.ศ. 2567 โครงการการใช้ประโยชน์ป่าพรุและบรรเทาหมอกควันอย่างยั่งยืนในอาเซียน (SUPA) ซึ่งดำเนินการโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปและรัฐบาลเยอรมนี จัดการสนทนานโยบายสำคัญภายใต้หัวข้อ “การปลดล็อกแนวทางท้องถิ่น” งานนี้จัดโดยความร่วมมือกับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีการเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากหลากหลายภาคส่วนมาร่วมกันเสนอแนะแนวทางเพื่อการจัดการพื้นที่ป่าพรุอย่างยั่งยืน การป้องกันไฟป่า และการลดปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนในประเทศไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับกลยุทธ์สิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคต

การมีส่วนร่วมที่ครอบคลุมเพื่อขจัดอุปสรรคทางนโยบายและสร้างแนวทางใหม่
การสนทนาในครั้งนี้ได้นำผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชนท้องถิ่นมาร่วมกันอภิปรายในประเด็นสำคัญที่มุ่งเน้นการถกประเด็นอุปสรรคทางนโยบายและส่งเสริมการพัฒนาเชิงนวัตกรรม อีกทั้งเป็นการเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือจากหลายฝ่ายในการเผชิญความท้าทายในการจัดการพื้นที่ป่าพรุและการปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
“การสนทนานโยบายครั้งนี้เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในระดับท้องถิ่น เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมในการจัดการพื้นที่ป่าพรุอย่างยั่งยืน” ธวัฒชัย ปาละคะมาน หัวหน้าโครงการ SUPA ประเทศไทย กล่าวในการเปิดงาน “ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ และชุมชนท้องถิ่น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขความท้าทายที่ซับซ้อน เช่น ไฟป่าและหมอกควัน พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้พื้นที่ป่าพรุอย่างยั่งยืนในระยะยาว”
ในระหว่างการอภิปรายที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญ ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนในการสำรวจเชิงลึกในหัวข้อที่ซับซ้อน อาทิ ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของนโยบายพื้นที่ป่าพรุ ความซับซ้อนของอุปสรรคทางนโยบายในการจัดการที่ยั่งยืน และบทบาทสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาคในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน การพูดคุยโต้ตอบกันทำให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ซึ่งช่วยให้แต่ละคนมีเครื่องมือและวิธีการในการเผชิญความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอย่างสร้างสรรค์

การเสริมพลังให้กับเยาวชน: ตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในจุดเด่นของงานนี้คือการสร้างบทบาทสำคัญให้กับเยาวชน ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโครงการ SUPA ในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้นำเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม เวิร์กชอปที่จัดขึ้นสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ร่วมงานกับผู้มีประสบการณ์ ส่งเสริมการสนทนาแลกเปลี่ยนข้ามรุ่น และเปิดโอกาสให้ได้แบ่งปันมุมมองที่ไม่เหมือนใครในด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
“การมีส่วนร่วมของเยาวชนเป็นสิ่งจำเป็นในการกำหนดนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของพวกเขา” ดร.วศิน ปั่นทอง หัวหน้าด้านวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าว “เราต้องการมุมมองที่สดใหม่และแนวทางใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์เพื่อตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญ” การรับฟังเสียงของเยาวชนแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนานโยบายที่ครอบคลุมและหลากหลายขึ้น ชี้ให้เห็นว่าเยาวชนไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ยังสามารถเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนแนวทางที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนอีกด้วย

การปลดล็อกเส้นทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน
การสนทนานโยบายในครั้งนี้ได้ขยายออกไปไกลกว่าการอภิปรายแบบดั้งเดิม โดยรวมถึงกิจกรรมเชิงปฏิบัติและเวิร์กชอปที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีทักษะในการพัฒนานโยบายที่สามารถขยายและปรับใช้ได้จริงในวงกว้าง ซึ่งเวิร์กชอปเหล่านี้ส่งเสริมกลยุทธ์ที่มองไปข้างหน้า สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาวของประเทศไทย และเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรมที่สามารถขยายไปทั่วภูมิภาคอาเซียนได้
การสนทนานโยบายของโครงการ SUPA เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความยืดหยุ่นในประเทศไทย ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมและส่งเสริมความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดย SUPA ยังคงเสริมสร้างกรอบนโยบายที่สนับสนุนความยั่งยืนและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้ SUPA เป็นผู้นำในการสร้างอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน
อัลบั้มภาพ
ธวัฒชัย ปาละคะมาน
หัวหน้าโครงการ SUPA ประเทศไทย
อีเมล: thawatchai.palakhamarn(at)giz.de