การอบรมเชิงปฏิบัติเตรียมภาคคมนาคมขนส่งของไทยสู่อนาคตที่พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

- การปรับระบบคมนาคมให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องชีวิต เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตประจำวัน
- ลงมือวันนี้ คุ้มค่าวันหน้า เพราะการลงทุนเพื่อการปรับตัวในตอนนี้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการฟื้นฟูความเสียหายในอนาคตอย่างมาก นโยบายที่เข้มแข็ง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน คือกุญแจสำคัญ
- การปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยข้อมูล การสื่อสารที่ชัดเจน เครื่องมือที่ใช้ได้จริง และการสนับสนุนอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถบูรณาการเข้ากับแผนงานและนโยบายได้อย่างแท้จริง
องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ภายใต้การดำเนินโครงการพัฒนาเมืองแบบองค์รวมเพื่อส่งเสริมการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ และการเป็นเมืองที่ฟื้นตัวได้ (Urban-Act) จัดชุดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่มีความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate-Resilient Transport Infrastructure: CRTI)
การอบรมครั้งแรกเน้นให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบต่อระบบคมนาคมขนส่ง และความสำคัญของการประเมินความเสี่ยง ส่วนการอบรมครั้งที่สอง ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เน้น “กรอบการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสถาพภูมิอากาศ” และการลงมือปฏิบัติ โดยให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านภูมิอากาศและออกแบบแนวทางแก้ไขผ่านเกมเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ และกรณีศึกษาจากสถานการณ์จริง (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอบรมครั้งแรก: “Urban-Act และ สนข. ผนึกกำลังเสริมสร้างศักยภาพภาคคมนาคมขนส่งไทย เดินหน้าสู่ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”)
แผนปฏิบัติการทั้งในระดับโลกและระดับชาติ

การบรรยายเรื่อง “กรอบการดำเนินการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่ง” โดย ดร.ภาวิญญ์ เถลิงศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)
แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan: NAP) ระบุว่า ภาคการคมนาคมขนส่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนสำคัญที่ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับอีก 6 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ การจัดการทรัพยากรน้ำ เกษตรและความมั่นคงทางอาหาร การท่องเที่ยว สาธารณสุข การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์
ความพยายามของประเทศไทยสอดคล้องกับแนวทางในระดับสากล เช่น กรอบนโยบายการปรับตัวของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation) ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
เมื่อระบบคมนาคมขนส่งล่มจากภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบจะขยายเป็นวงกว้าง เช่น เกิดความล่าช้าในการช่วยเหลือฉุกเฉิน ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และทำให้ชุมชนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ดังนั้น การบูรณาการการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในแผนการคมนาคมขนส่งจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องสำคัญเท่านั้น แต่เป็นสิ่งจำเป็น
ลงมือปรับโครงสร้างพื้นฐานวันนี้ คุ้มค่ากว่าการจ่ายเพื่อซ่อมแซมความเสียหายในอนาคต

ทุกๆ ชั่วโมงน้ำแข็งในกรีนแลนด์กำลังละลายกว่า 30 ล้านตัน ด้วยเหตุนี้ระดับน้ำทะเลจึงสูงขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมทั่วโลก จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลในสหราชอาณาจักร ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลจากสนามบินกว่า 14,000 แห่งทั่วโลก พบว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียสภายใน พ.ศ. 2643 คาดการณ์ว่า สนามบินกว่า 100 แห่งอาจจมน้ำ และอีกกว่า 500 แห่งจะเสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมรุนแรง โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของไทยถูกจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในสนามบินที่เสี่ยงน้ำท่วมมากที่สุดในโลก
เป็นที่ชัดเจนว่า การลงทุนเชิงป้องกันตั้งแต่วันนี้ จะช่วยปกป้องชีวิต ความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
โลกกำลังปรับตัวอย่างไร?

กรณีศึกษาเมืองฟองน้ำในประเทศจีน
ขอบคุณภาพจาก ดร. หวัง ซิน (Dr Wang Xin), มหาวิทยาลัยถงจี้ (Tongji University), เซี่ยงไฮ้
จากการนำเสนอใน Urban-Act Webinar และการเสวนนาแลกเปลี่ยนความรู้ในหัวข้อ “จากแนวคิดสู่การนำไปปฏิบัติ: ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองสีเขียวและเมืองซับน้ำ”
ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก กำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยวิธีหลากหลาย โดยมักใช้หลายกลยุทธ์ควบคู่กันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น
- โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure-based): ในกรุงเทพฯ มีการออกแบบทางรถไฟยกระดับและทางเข้าอุโมงค์กันน้ำ เพื่อรองรับน้ำท่วมในเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรง
- อิงแนวทางจากธรรมชาติ (Nature-based): อินโดนีเซียฟื้นฟูป่าชายเลนในเมืองชายฝั่ง เช่น ที่เมืองจาการ์ตา เพื่อดูดซับน้ำท่วม พร้อมทั้งพัฒนาถนนและระบบระบายน้ำควบคู่กัน
- เปลี่ยนพฤติกรรม (Behavioral): ที่เนเธอร์แลนด์ ท่าเรือรอตเตอร์ดัมให้ความรู้กับภาคธุรกิจเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าประเทศจะมีระบบป้องกันน้ำท่วมที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
- ปรับในเชิงนโยบายและสถาบัน (Institutional): ประเทศจีนมีโครงการเมืองฟองน้ำ (Sponge Cities) ที่เมืองอู่ฮั่นและเมืองเซินเจิ้น โดยใช้วัสดุปูพื้นที่ซึมน้ำได้ หลังคาสีเขียว และทางเดินธรรมชาติ เพื่อบริหารจัดการน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า “การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ” ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ใช้ได้เหมือนกันทุกที่ แต่การผสมผสานระหว่างโครงสร้างที่ชาญฉลาด แนวทางจากธรรมชาติ ความรู้ของคนในชุมชน และนโยบายที่เข้มแข็ง คือหัวใจของการทำให้เมืองสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
แหล่งทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การปรับตัวเพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีต้นทุนสูง แต่ทางเลือกด้านแหล่งทุนกำลังขยายตัวและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สถาบันระดับโลกสำคัญ ๆ อย่างกองทุนภูมิอากาศโลก (Green Climate Fund – GCF) ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สนับสนุนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศผ่านการให้ทุนสนับสนุนและเงินกู้
ในขณะเดียวกัน การลงทุนจากภาคเอกชนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือทางการเงิน เช่น พันธบัตรสีเขียว (Green Bonds) สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability-linked Loans) และการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Taxonomies) ถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อระดมทุนไปยังโครงการที่เน้นการรับมือกับสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบัน ภาคคมนาคมขนส่งมีสัดส่วนการลงทุนพันธบัตรสีเขียวทั่วโลกถึง 19%
ตัวอย่างโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลก เช่น ถนนที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศในกัมพูชา ระบบขนส่งที่ป้องกันน้ำท่วมได้ในฟิลิปปินส์ และการปรับปรุงถนนในรัฐพิหารและรัฐโอฑิศา ประเทศอินเดีย
ออกแบบแนวทางการปรับตัวอย่างชาญฉลาด

ในการอบรม ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้วิธีประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อระบบคมนาคมขนส่ง และการวางแผนการปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกระบวนการง่าย ๆ เป็นขั้นตอน ดังนี้:
- การประเมินผลกระทบ (Impact Assessment): วิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมหรือคลื่นความร้อน ส่งผลต่อถนน ทางรถไฟ หรือท่าเรืออย่างไรบ้าง
- การประเมินจุดเปราะบาง (Vulnerability Assessment): ระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ถนนที่อยู่ในที่ลุ่มซึ่งมักเกิดน้ำท่วมหรือเสียหายได้ง่าย
- การประเมินขีดความสามารถในการรับมือ (Response Capacity): วิเคราะห์ว่าระบบที่มีอยู่สามารถรับมือกับเหตุการณ์รุนแรงจากสภาพอากาศได้ดีเพียงใด และใช้เวลานานแค่ไหนในการฟื้นตัว
จากนั้น ผู้เข้าร่วมได้นำกระบวนการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ ผ่านการออกแบบกลยุทธ์การปรับตัวที่สามารถนำไปใช้ได้จริง อาทิ การยกระดับถนน การปรับปรุงระบบระบายน้ำ หรือการปรับเปลี่ยนเส้นทางรถไฟเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

การอบรมยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนที่ตอบสนองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว กล่าวคือ
- มาตรการระยะสั้น (1–3 ปี): มุ่งเน้นการรับมือกับความเสี่ยงเร่งด่วนและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การซ่อมแซมถนนที่เสียหายจากน้ำท่วม การฟื้นฟูเส้นทางรถไฟที่ถูกตัดขาด หรือการจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
- มาตรการระยะกลางถึงระยะยาว (มากกว่า 3 ปี): มุ่งสร้างความทนทานในระยะยาว ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การวางนโยบายคมนาคมขนส่งเชิงรุกเพื่ออนาคต และการลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรม
วางรากฐานเพื่อระบบคมนาคมขนส่งที่พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อีกประเด็นสำคัญที่ได้รับจากการอบรมครั้งนี้ คือความสำคัญของการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานระดับชาติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือภาคเอกชน ทุกฝ่ายต้องเข้าใจบทบาทของตนในการดำเนินมาตรการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ
การใช้เกมเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ (Gamification)
ในการอบรมครั้งนี้ มีการนำเกมมาใช้เพื่อสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจและการมีส่วนร่วม ในประเด็นที่จริงจังอย่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ด้วยกิจกรรมสวมบทบาทสมมุติ ผู้เข้าร่วมได้สวมบทบาทเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ผู้นำภาคเอกชน หรือผู้แทนภาคประชาสังคม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการปกป้องและเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ผู้เล่นต้องเจรจา ประสานความร่วมมือ และตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณ สะท้อนสถานการณ์จริงที่หลายประเทศกำลังเผชิญ
กิจกรรมนี้ไม่เพียงกระตุ้นการคิดเชิงกลยุทธ์ แต่ยังเปิดเวทีให้เกิดบทสนทนาเชิงลึกว่าด้วยความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐาน ความรับผิดชอบร่วมกัน และการตัดสินใจที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบกับประโยชน์ เพื่อมุ่งสู่ระบบคมนาคมขนส่งที่ทนทานและพร้อมรับอนาคต
ด้วยการผสานระหว่างการวิเคราะห์เชิงเทคนิคกับการลงมือวางแผนจริง การอบรมครั้งนี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถก้าวสู่การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่สามารถรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ไฮน์ริช กูเดนุส ผู้อำนวยการโครงการ Urban-Act
“เมื่อเราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคคมนาคมขนส่ง เรามักให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ในขณะเดียวกัน บทบาทของทุกฝ่ายในการปรับตัวก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ไม่ว่าจะในแง่มิติทางกายภาพ หรือบทบาทในการเชื่อมโยงผู้คนและสถานที่ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง…การอบรมครั้งนี้นับเป็นก้าวแรกของชุดการอบรมที่กำหนดไว้ โดยโครงการฯ จะมีการจัดหลักสูตรเพิ่มเติม ทั้งในระดับพื้นฐานและเชิงลึกต่อไปในอนาคต” ไฮน์ริช กูเดนุส ผู้อำนวยการโครงการ Urban-Act กล่าว
ไฮน์ริช กูเดนุส
ผู้อำนวยการโครงการ Urban-Act
อีเมล heinrich.gudenus(at)giz.de