เทคโนโลยีการปรับพื้นที่การปลูกพืชหมุนเวียนด้วยระบบ GPS

- เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการทำงานของภาคการเกษตร จากการเกษตรแบบดั้งเดิมสู่การเกษตรแบบแม่นยำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพปัจจัยการผลิต ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต และช่วยรักษาสภาพแวดล้อม
- โครงการการจัดการห่วงโซ่อุปทานข้าวและมันฝรั่งฯ (RePSC) จัดอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการปรับระดับพื้นที่การปลูกพืชหมุนเวียนด้วยระบบ GPS เพื่อสนับสนุนการทำงานของภาคการเกษตร
- การใช้เทคโนโลยีปรับระดับด้วยระบบ GPS เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่เข้ามาช่วยในการปรับหน้าดินให้เรียบเสมอกัน ส่งผลให้การจัดการน้ำมีประสิทธิภาพ พืชเจริญเติบโตสม่ำเสมอ ควบคุมวัชพืช และลดการใส่ปุ๋ย
การเกษตรในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไม่แน่นอนและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีข้อจำกัด โดยเฉพาะทรัพยากรดินซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญสำหรับมนุษย์ เพราะเป็นแหล่งผลิตอาหาร แหล่งกักเก็บน้ำ และบริการทางระบบนิเวศอื่น การเพาะปลูกข้าวต้องพึ่งพาความเหมาะสมของพื้นที่นาเป็นอย่างมาก โดยหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตข้าวลดลงทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพคือปัญหาพื้นที่นาไม่สม่ำเสมอ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ เช่น การจัดการน้ำในพื้นที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ข้าวเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอและไม่สามารถควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืชในแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรจึงถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ด้วยเหตุนี้ โครงการการจัดการห่วงโซ่อุปทานข้าวและมันฝรั่งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศด้วยวิธีการปลูกข้าว มันฝรั่ง และข้าวโพดหมุนเวียนอย่างยั่งยืน (RePSC) ได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดการพื้นที่ปลูก ซึ่งเป็นกิจกรรมแรกที่สำคัญของการปลูกพืชให้ได้คุณภาพที่ดี โครงการฯ จึงได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการและงานวันสาธิตและถ่ายทอดเทคโนโลยี “การปรับระดับพื้นที่การปลูกพืชหมุนเวียนด้วยระบบ GPS (GPS Land Leveling)” เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสนับสนุนการทำงานของภาคการเกษตรในจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นพื้นที่ดำเนินการของโครงการฯ โดยการอบรมครั้งนี้มีเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเกษตรกรจากจังหวัดอุบลราชธานีเข้าร่วมจำนวน 20 ราย ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากกรมการข้าว กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 เชียงใหม่ สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายและอำเภอเวียงป่าเป้า สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เจ้าหน้าที่บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท อูรมัต จำกัด รวมทั้งสิ้น 60 คน

เกษตรกรและเจ้าหน้าที่เรียนรู้หลักการทำงานของเครื่องปรับระดับหน้าดินด้วยระบบ GPS
การปรับระดับพื้นที่ด้วยระบบ GPS เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับระดับพื้นที่นาให้มีความเรียบสม่ำเสมอและเสถียรมากขึ้น โดยเทคโนโลยี GPS จะช่วยให้รู้ตำแหน่งสูง-ต่ำของพื้นที่อย่างละเอียด และมีความแม่นยำสูง นอกจากนั้น ยังสามารถใช้เครื่องวิ่งสำรวจพื้นที่เพื่อหาค่าเฉลี่ยของแปลงได้เลย ซึ่งช่วยลดเวลาในการปรับพื้นที่และลดค่าแรงงาน โดยการปรับระดับพื้นที่ด้วยระบบ GPS สามารถใช้ได้ทั้งในพื้นที่เนินเขา พื้นที่ลาดชันสูง แต่ก็มีข้อจำกัดในบางกรณี เช่น ในพื้นที่ที่มีความลาดชันมากหรือมีสภาพภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน อาจทำให้การปรับระดับพื้นที่ไม่สามารถทำได้ในระดับที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม วิธีการปรับระดับพื้นที่ด้วยระบบ GPS นี้มีความยืดหยุ่นสูงกว่าการปรับระดับพื้นที่ด้วยระบบเลเซอร์ (Laser Land Levelling) ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการใช้งานและการปรับตั้งค่าอุปกรณ์ ซึ่งเกษตรกรที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีนี้อาจประสบปัญหาในการทำงานได้ นอกจากนี้ หากในแปลงมีฝุ่นมากเกินไปก็จะเป็นอุปสรรคต่อลำแสงเลเซอร์ระหว่างตัวส่งและตัวรับสัญญาณ ทำให้การทำงานคลาดเคลื่อนได้

คุณบุญธรรม พิรักษ์ เกษตรกรเจ้าของแปลงสาธิต ทดลองการใช้เครื่องปรับระดับพื้นที่ด้วยเครื่องระบบ GPS ในแปลงพืชหมุนเวียน โดยมีคุณวีรชัย รุ่งรามา วิทยากรบริษัท ตะโกราย ไฮดรอลิก ให้คำแนะนำในการสำรวจแปลงและการทำงานของเครื่องปรับระดับพื้นที่
นอกจากพื้นที่นาแล้ว เครื่องปรับระดับหน้าดินยังสามารถใช้ได้กับพืชหลากหลายชนิด เพื่อช่วยในการบริหารจัดการน้ำให้ทั่วทั้งแปลงและทำให้น้ำไม่ท่วมขังอยู่จุดใดจุดหนึ่ง เช่น มันฝรั่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำ แต่ไม่ต้องการน้ำท่วมแฉะ จึงจะให้ผลผลิตดี หากเกษตรกรใช้วิธีแบบการดั้งเดิมโดยปรับพื้นที่จากการวัดด้วยสายตาอาจทำให้พื้นที่ในแปลงมีความสูงต่ำไม่เสมอกันและใช้เวลาสูบน้ำนาน การปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดระยะเวลาการปรับพื้นที่ได้ ช่วยให้พืชเติบโตสม่ำเสมอ ลดปริมาณศัตรูพืชทั้งโรคและแมลงต่างๆ และช่วยปรับปรุงระบบนิเวศในแปลงให้ดียิ่งขึ้น โดยสรุปแล้วเทคโนโลยีดังกล่าวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตดังนี้
- ทำหน้าดินให้มีระดับเสมอกันด้วยความแม่นยำสูง
- เกษตรกรสามารถจัดการน้ำในแปลงนาได้ง่ายขึ้น ทำให้ระบายน้ำเข้า-ออกได้สะดวก พืชได้รับน้ำและปุ๋ยในเวลาพร้อมเพรียงหรือใกล้เคียงกัน
- ลดปัญหาวัชพืช
- ลดต้นทุนการการผลิตได้โดยไม่กระทบต่อสภาพแวดล้อม
การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีในครั้งนี้ได้จุดประกายความสนใจให้เกษตรกรและหน่วยงานในพื้นที่ในการนำร่องเทคโนโลยีการปรับระดับพื้นที่ด้วยระบบ GPS ในจังหวัดเชียงราย รวมทั้งบูรณาการแนวคิดในการจัดการภูมิทัศน์เกษตรอย่างยั่งยืนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

ภาพเปรียบเทียบการปรับระดับพื้นที่ระหว่างแปลงที่กำลังปรับพื้นที่ (แปลงด้านขวาของรถแทรกเตอร์) และแปลงที่ถูกปรับหน้าดินเรียบร้อยแล้ว (แปลงด้านซ้ายของรถแทรกเตอร์) ซึ่งพื้นดินเรียบสม่ำเสมอและจะส่งผลดีต่อการเพาะปลูกพืช ช่วยในการจัดการเรื่องน้ำได้ทั่วทั้งแปลง ทำให้น้ำไม่ท่วมขังอยู่จุดใดจุดหนึ่ง
เกอมันน์ มูลเลอร์ (German Müller)
ผู้อำนวยการโครงการ RePSC
อีเมล: german.mueller(at)giz.de
ข่าวที่เกี่ยวข้อง