GIZ เดินหน้าลดคาร์บอนภาคขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานยนต์ในไทย

ผู้เข้าร่วมงานสัมมนา “Aligning Economic Prosperity with Thailand’s Climate Ambitions”
ประเทศไทยจะสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้หรือไม่? นี่คือคำถามสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในงานสัมมนา “Aligning Economic Prosperity with Thailand’s Climate Ambitions” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ณ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น กรุงเทพ จากความร่วมมือระหว่างโครงการส่งเสริมมาตรการ แนวทาง และแผนงานเพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพยานยนต์และการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (IMPROVE) ที่ดำเนินงานโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) โดยมีผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความคืบหน้า รวมถึงความท้าทายของประเทศไทยในการพัฒนาและปรับเปลี่ยนภาคการขนส่งให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
งานสัมมนานี้เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางที่ประเทศไทยจะมุ่งสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงบริบททางเศรษฐกิจ โดยหนึ่งในสาระสำคัญคือ การขับเคลื่อนระบบขนส่งอย่างยั่งยืนของประเทศไทยไม่ใช่เพียงแค่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น หากแต่ยังต้องอาศัยนโยบายที่มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ มีความยืดหยุ่น และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ ในขณะที่ภาคคมนาคมขนส่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านที่ซับซ้อน

คุณปัญญา ชูพานิช (ขวา) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และคุณแดเนียล บองการ์ด (ซ้าย) ผู้ประสานงานกลุ่มงานด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมของ GIZ และผู้อำนวยการโครงการ IMPROVE
การสัมมนาในครั้งนี้ คุณปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวเปิดงานโดยเน้นย้ำว่าประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศกำหนด (NDC) พร้อมชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการผลักดันนโยบายการใช้พลังงานของยานยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมยานยนต์ปล่อยมลพิษต่ำ และการพัฒนาฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อสนับสนุนการพัฒนานโยบายที่อิงข้อมูลเชิงประจักษ์ ในขณะที่คุณแดเนียล บองการ์ด ผู้ประสานงานกลุ่มงานด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมของ GIZ และผู้อำนวยการโครงการ IMPROVE ได้ย้ำถึงความร่วมมืออันยาวนานระหว่าง GIZ กับประเทศไทย พร้อมเน้นความสำคัญของการแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนานาชาติที่สามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
โครงการ IMPROVE สนับสนุนการขับเคลื่อนการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคคมนาคมขนส่ง
การอภิปรายในช่วงแรกได้นำเสนอผลการดำเนินงานของโครงการ IMPROVE ในช่วงที่ผ่านมา อาทิ การศึกษานโยบายประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Fuel Efficiency Policy Study) การพัฒนาฐานข้อมูลประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานยนต์จดทะเบียน (FE Data Portal) และการสร้างความร่วมมือระดับนานาชาติ โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา โครงการ IMPROVE ได้สนับสนุนการจัดทำนโยบายเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคขนส่ง และส่งเสริมการตัดสินใจคัดเลือกนโยบายที่อิงข้อมูลเชิงประจักษ์
ในงานนี้ คุณฐิติภัทร ดอกไม้เทศ จากสถาบันยานยนต์ (TAI) นำเสนอผลการศึกษาเชิงเทคนิคว่าด้วยประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานยนต์ โดยเน้นไปที่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (Light-Duty Vehicles: LDVs) ซึ่งระบุว่าประเทศไทยได้ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเฉลี่ยของรถยนต์ไว้ที่ 92.53 กรัมคาร์บอนไดออกไซด์ต่อกิโลเมตร (gCO2/km) และปัจจุบันกลไกที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคือระบบภาษีสรรพสามิต ซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้ผลิตรถยนต์อย่างมีนัยสำคัญ การศึกษายังได้เปรียบเทียบนโยบายด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานยนต์ในประเทศไทยกับประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน และเยอรมนี พร้อมกันนั้น รายงานฉบับนี้ยังได้เสนอให้ประเทศไทยปรับแนวทางให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้มากขึ้น เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศต่อไป

การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์นั่งในประเทศต่างๆ ที่มา: ICCT, พ.ศ. 2567

การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถกระบะในประเทศต่างๆ ที่มา: ICCT, พ.ศ. 2567
การปรับนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เปลี่ยนไป
การศึกษาชี้ให้เห็นถึงจำนวนจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว สวนทางกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ โดยมีสาเหตุหลักจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง และหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์เพียงสองในสิบของการยื่นขอสินเชื่อเท่านั้น รวมถึงความไม่มั่นใจของผู้บริโภค โดยเฉพาะการเลือกประเภทของรถยนต์ (เครื่องยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฮบริด หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่) ที่ชะลอการตัดสินใจซื้อ
แนวโน้มเหล่านี้นำไปสู่การปรับประมาณการการปล่อยก๊าซใหม่ โดยคาดว่าการปล่อยจากภาคขนส่งจะถึงจุดสูงสุดในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม NDC ที่กำหนดไว้ที่ 45.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ (MtCO2) จากภาคขนส่ง ยังจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพของรถยนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ปล่อยก๊าซสูง เช่น รถกระบะ
พลิกวิกฤตสู่โอกาส: ความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมและกลไกเชิงนโยบาย

การเสวนาหัวข้อ “ฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ สู่เส้นทางลดคาร์บอนภาคขนส่ง”
ภายในงานยังมีการเสวนาหัวข้อ “ฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ สู่เส้นทางลดคาร์บอนภาคขนส่ง” ซึ่งมีผู้แทนจาก TAI, สนข., สศอ. และ GIZ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดำเนินรายการโดยคุณสุนทร ตันมันทอง (TAI) การเสวนาในครั้งนี้ได้เน้นย้ำว่า แม้จะเผชิญกับความ ท้าทายทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยยังสามารถบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้ หากมีทิศทางนโยบายที่ชัดเจน รวมถึงการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพ และแรงจูงใจจากกลไกตลาด
ด้วยบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ระดับโลกที่ส่งออกไปยังกว่า 170 ประเทศ ประเทศไทยจึงมีอำนาจต่อรองเชิงกลยุทธ์ การปรับกฎระเบียบภายในประเทศให้สอดคล้องกับตลาดส่งออกหลัก เช่น มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานสำหรับรถยนต์ใหม่ (NVES) ของออสเตรเลีย จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มรถกระบะ ผู้ร่วมเสวนายังได้ถอดบทเรียนจากสหภาพยุโรปและเยอรมนี โดยชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือกำกับดูแล เช่น มาตรฐานการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รายกลุ่มเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายแบบขั้นบันได และบทลงโทษที่ชัดเจน มีบทบาทสำคัญในการรักษาการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า แม้จะมีการลดเงินอุดหนุนลงก็ตาม โดยการเสวนาสะท้อนให้เห็นว่า “ความต่อเนื่องของนโยบาย” และ “สัญญาณการลงทุนระยะยาว” เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมของอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
นโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่านฐานข้อมูลประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานยนต์จดทะเบียน
ช่วงท้ายของงานสัมมนา คุณปพนธนัย นันทชัชวาลย์กุล ผู้จัดการโครงการ IMPROVE ประเทศไทย ได้แนะนำฐานข้อมูลประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานยนต์จดทะเบียน โดยระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของยานยนต์จดทะเบียนในแต่ละปีจากกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และ สศอ. เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามประเภทรถและรุ่นรถ
ฐานข้อมูลนี้เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการกำหนดนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน และช่วยติดตามรถยนต์ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (LDVs) ซึ่งระบบนี้คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันความพยายามของประเทศไทยในการลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว
ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
งานสัมมนาปิดท้ายด้วยการที่ สนข. แสดงจุดยืนในการสนับสนุนโครงการ IMPROVE อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง GIZ ประจำประเทศไทย พร้อมเดินหน้าสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของระบบขนส่งไทยให้มีความยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในประเด็นนี้ รวมถึงการวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ และการร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งการผสานองค์ความรู้จากนานาชาติและการดำเนินงานในประเทศ ช่วยทำให้ GIZ สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
คุณปพนธนัย นันทชัชวาลย์กุล
ผู้จัดการโครงการ IMPROVE ประเทศไทย
อีเมล papondhanai.nanthachatchavankul(at)giz.de